“ข้าหยาบคายจนเคยตัว อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ข้าเหลือเนื้อแพะส่วนที่ดีที่สุดไว้ให้ท่าน แล้วที่พวกนางดื่มก็เป็นเหล้าน้ำผึ้ง มิใช่นารีแดงที่ท่านเอากลับมา อีกประเดี๋ยวข้าจะอุ่นให้เองกับมือแล้วดื่มคารวะท่านสามจอก”
หยางซื่อเห็นจวิ้นอ๋องจะดื่มสุราพูดคุยกับท่านแม่ทัพเพื่อปรับความเข้าใจกันก็ยินดีจนแทบจะออกนอกหน้า นางรีบเอาเท้ายันเหมยเหนียงทีหนึ่งเป็นเชิงเตือนพลางดึงตัวเซวียนเอ๋อร์ที่หัวช้ากว่า ยังคิดจะกุลีกุจอไปรินสุราให้คนทั้งสองออกมา ก่อนจะกล่าวขอตัวออกไปอย่างลุกลน
ทุกคนกลับไปยังเรือนของตนพร้อมกันแล้วจุดธูปคนละดอกสองดอกไหว้เจ้าแม่บุพเพสันนิวาส ขอให้คุ้มครองคนคู่นั้นอยู่กันสองต่อสองแล้วความสัมพันธ์ดีขึ้นโดยไว อย่าได้หาเรื่องตกลงหย่ากันเด็ดขาด และขอให้คุ้มครองพวกนางให้มั่งมีศรีสุขไปตลอดชาติ
ซย่าอวี้จิ่นดิ้นขัดขืนอยู่หลายครั้งก็ดิ้นไม่หลุด ถูกกดตัวลงนั่ง หลังจากกรอกสุราเลิศรสลงท้องสองจอก เขานึกถึงหนังสือหย่าก็พาให้สติแจ่มใสขึ้นบ้าง และคิดได้ว่าภรรยาจะรูปงามแค่ไหนก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ไม่อาจคบชู้กับอนุภรรยาและเมียบ่าวได้เด็ดขาด หมวกบนศีรษะตัวเองยังคงเป็นสีน้ำเงิน มิได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว* เขาก็สบายใจขึ้นบ้างในที่สุด
เยี่ยเจาดึงกริชคมกริบเล่มหนึ่งมาจากเอว ตวัดมือฉวัดเฉวียนแล่เนื้อแพะออกมาเป็นแผ่นบางดุจปีกจักจั่นแล้วคลุกกับเครื่องปรุงรสเช่นน้ำมันงา ต้นหอม กระเทียม และอื่นๆ จากนั้นก็ถือไปวางลงเบื้องหน้าเขากับมือ กุลีกุจอเอ่ย
“ท่านเสียเวลาอยู่ในวังหลวงนานครึ่งค่อนวัน เกรงว่าจะหิวแล้วกระมัง กินมากๆ หน่อย”
ฝีมือการแล่เนื้อแพะของนางไม่เลวเลยทีเดียว ซย่าอวี้จิ่นกินอย่างเอร็ดอร่อย
พอเห็นกริชในมือนางสวยงามวิจิตร เขาก็หยิบมาพิศดูอย่างละเอียดแล้วเอ่ยชมด้วยความประหลาดใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบเข้ากระดูกและความคมกริบไม่เป็นสองรองใคร
“นี่เป็นงานฝีมือของราชวงศ์ก่อนกระมัง ผลงานของช่างใหญ่อวี้เจี้ยนจื่อ?”
“ตาถึง!” เยี่ยเจาเห็นเขารู้จักของดีก็ชอบอกชอบใจ กล่าวโอ้อวด “มันคือกริชปีกจักจั่นที่ช่างใหญ่อวี้เจี้ยนจื่อเป็นคนตีขึ้น ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดิน ในครั้งนั้นที่จอมยุทธ์ฉางเฮ่าลอบสังหารขุนนางโฉดชั่วสามานย์ลู่หู่เฉินแล้วควักหัวใจเขาไปแกล้มสุราก็ใช้กริชเล่มนี้แหละ หลังจากข้าได้มันมาก็เคยควักหัวใจของฮาเอ่อร์มู่ แม่ทัพใหญ่ของหมานจินออกมาเป็นๆ แล้วแช่ในสุรา เอาไปร่วมดื่มกับครอบครัวของเหล่าทหารหาญที่ถูกปีศาจโหดเหี้ยมอำมหิตตนนี้คร่าชีวิตไป”
สังหารคนควักหัวใจได้@@@เป็นกริชชั้นดีโดยแท้@@@
ภรรยาเขาเคยกินคนมาก่อนจริงๆ
ซย่าอวี้จิ่นเคี้ยวเนื้อแพะชิ้นสุดท้ายในปากสองทีแล้วพยายามกลืนลงคอเงียบๆ
เยี่ยเจาถือกริชปีกจักจั่น เอ่ยถามเขาอย่างเอาอกเอาใจ
“ข้าหั่นเนื้อแพะให้ท่านอีกสักหน่อยนะ?”
ซย่าอวี้จิ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นลมไปเช่นเดิมจะเป็นการดีกว่า
ประเพณีของโม่เป่ยป่าเถื่อนโหดร้าย ส่วนเยี่ยเจาก็คลุกคลีกับชายฉกรรจ์หยาบคายในกองทัพจนเคยชิน คนข้างกายที่นับว่าสุภาพที่สุดก็คือเจ้าจิ้งจอก ทว่าความไวในการแย่งกินเนื้อของคนผู้นั้นก็มิได้ย่อหย่อนกว่าชิวเหล่าหู่เลย ด้วยเหตุนี้นางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดที่อ่อนไหวของเหล่าคุณชายเสเพลเมืองหลวงได้น้อยนิดอย่างยิ่ง สุดท้ายนางหันเหความคิดไปถึงพวกกุลสตรีโฉมงามในห้องหอที่รู้จัก ถึงพอจะคาดเดาได้ว่าสีหน้าไม่สู้ดีในยามนี้ของซย่าอวี้จิ่นมีสาเหตุมาจากอะไร นางจึงพูดขึ้นอย่างระแวดระวังเพื่อยืนยันให้แน่ใจ
* มาจากสำนวน ‘สวมหมวกเขียว’ ตรงกับสำนวนไทยว่าสวมเขา ในสมัยโบราณชายคนหนึ่งต้องเดินทางไปทำการค้าต่างเมืองอยู่เสมอ ภรรยาอยู่บ้านแอบคบชู้และได้นัดแนะกับชายชู้ว่าหากเห็นสามีนางสวมหมวกสีเขียวขี่ม้าออกจากบ้าน แสดงว่าจะไปต่างเมือง ให้ชายชู้มาหาตนที่บ้านได้