overgraY
The Star’s Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
Traumatic
“ได้ยินว่าเจอเด็กคนนั้นแล้วเหรอ”
เจสเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกแขนข้างหนึ่งของยอนโฮขึ้นและพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ปักเข็มลงบนเส้นเลือดดำบนต้นแขน
คิ้วพลันขมวดมุ่นแวบหนึ่ง เจสเห็นดังนั้นจึงถามว่า
“ยังเจ็บอยู่เหรอ หน้ายู่ยี่เชียว”
“…”
“ประมาณสิบปีก่อนใช่มั้ยที่เข้าไปช่วยเด็กนั่นออกจากกองเพลิง…”
“นานขนาดนั้นแล้วเหรอเนี่ย”
“น่าแปลกนะ ทั้งที่นายเคยช่วยชีวิตคนไว้ตั้งมากมาย แต่กลับลืมเด็กคนนั้นไม่ได้”
เจสดึงเข็มเปล่าออก ช่วยจัดเสื้อเชิ้ตให้เข้าที่แล้วจุ๊บแก้มของยอนโฮเบาๆ แต่ชายหนุ่มหน้าตึงทันที
“ขอแค่นี้เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา”
เจสหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของยอนโฮ
“ผมไม่ใช่…”
ยอนโฮลุกขึ้นยืน แล้วยกมือขึ้นเช็ดแก้มที่ถูกริมฝีปากของเจสสัมผัสเมื่อครู่…จูบจากบุคคลที่เป็นเพศชายเช่นเดียวกัน ดวงตาของยอนโฮประสานกับดวงตาสีขี้เถ้าของเจส
เหมือนวันนั้น
แววตาแบบนี้ช่างเหมือนกับวันนั้นที่ทั้งคู่ได้สบสายตากันเป็นครั้งแรกบนเรือ
‘ให้ช่วยมั้ย’
เจสเอ่ยถามยอนโฮที่กำลังยืนมองมือที่ยื่นเข้ามาอย่างงุนงง
‘ฉันตกหลุมรักนายตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ’
นั่นคือคำพูดที่เจสพูดกับเขา
เจส ชายหนุ่มเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร กล้ามเนื้อเป็นมัดกับดวงตาสีขี้เถ้าอันแสนเย็นชาช่างเป็นสเป็กที่น่าต้องตาต้องใจของหญิงสาวทั้งประเทศ แต่เขาคนนี้กลับประกาศให้โลกรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์และไม่ว่าจะเอ่ยบอกความในใจของตัวเองให้ยอนโฮฟังกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยอนโฮก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิม
“ฉันไม่ใช่สเป็กจริงๆ สินะ”
แม้ยอนโฮจะปฏิเสธ แต่สายตาของยอนโฮไม่เคยฉายแววดูถูกเจสเลย
“จะไปไหนอีกล่ะ ฉันมาที่นี่แค่เดือนละครั้ง และครั้งนี้ก็เพิ่งมาถึงยังไม่ทันข้ามชั่วโมงเลยแต่นายจะออกไปอีกแล้ว วันนี้อยู่กับฉันไม่ได้เหรอ”
“มีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
“เรื่องที่ต้องไปจัดการเหรอ ช่างไม่เกรงกลัวอะไรเหมือนเดิมเลยนะ ระวังตัวหน่อยสิ ถ้าพวกมันรู้ว่านายคือผู้ที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากการทดลอง H-DIS ล่ะก็ พวกมันต้องไม่ปล่อยนายไว้แน่”
ยอนโฮหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเจส
“ผู้ชายอะไรขี้กังวล ขัดแย้งกับร่างกายใหญ่โตนี่ชะมัด”
เจสเป็นหนึ่งในบุคคลที่ยอนโฮไว้ใจ ทั้งที่เจสรู้ว่ายอนโฮเป็นคนที่ทางรัฐบาลเกาหลีกำลังต้องการตัว แต่เจสก็ยังให้ความช่วยเหลือเขาและซ่อนเขาเอาไว้ ตอนอยู่ที่อังกฤษมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และทุกครั้งที่เกิดเรื่องเจสก็เป็นคนช่วยเหลือพร้อมทั้งปกป้องยอนโฮเสมอ
เจสเป็นผู้กว้างขวางและมีอำนาจมากถึงขนาดสามารถกุมชะตากรรมของประเทศนี้ได้ แต่คนคนนี้มักแสดงท่าทีอ่อนแอเวลาอยู่ต่อหน้ายอนโฮ
“…”
“ฉันเชื่อนายก็ได้ แต่ต้องมีชีวิตรอดกลับมานะ”
เจสพูดกับยอนโฮที่หันหลังกลับมา
จองยอนโฮ
ชื่อจริงคือลีจองอู
สมัยเป็นนายทหารระดับสูงของหน่วยรบพิเศษ เขาได้สร้างผลงานมากมาย และการที่เขาต้องกลายมาเป็นเป้าหมายของการทดลองลับสุดยอดของประเทศนั้นก็เพราะความริษยาของคน มีการระดมทหารสามสิบนายเพื่อเข้ารับการทดลองให้เป็นทหารไร้พ่ายที่เหมือนกับหุ่นยนต์ และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจึงได้มีการลบตัวตนและทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกทดลองไปจากโลกใบนี้จนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงการบันทึกไว้ว่าพวกเขาได้เสียชีวิตระหว่างการฝึก แต่ความเป็นจริงกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาที่ถูกจับมาขังเอาไว้ที่ห้องทดลองชั้นใต้ดินเพื่อเป็นหนูทดลองนั้นล้วนเสียชีวิตจากผลข้างเคียงของการฉีดยา
หากมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รอดชีวิต นั่นคือยอนโฮ
“วันที่ฉันได้เจอนายครั้งแรกน่ะ…” เจสพูดพลางมองหน้ายอนโฮ
หลังจากที่ยอนโฮเห็นว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมในการทดลองเสียชีวิตไปหลังถูกฉีดยาภายในห้องขังชั้นใต้ดินที่ถูกใช้เป็นห้องทดลอง เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมรับการฉีดยาและได้ลงมือทำร้ายทหารสองนายล้มลงก่อนจะหนีออกมา ซึ่งการที่เขาสามารถหนีออกมาได้นั้นเป็นเพราะแผนผังตึกที่ได้มาจากคนที่แอบให้การช่วยเหลือเขาด้วยความสงสาร หลังจากที่วิ่งสลับกับหลบซ่อนตัวเป็นเวลายาวนานถึงสิบสองชั่วโมง ในที่สุดเขาก็สามารถหนีมาถึงชายหาด ก่อนจะปีนขึ้นเรือที่กำลังจะออกเดินทาง
เจสได้พบกับยอนโฮบนเรือลำนั้น
วันนั้นเจสเห็นชายคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือ ร่างเปียกโชกตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า วินาทีที่สบตากับดวงตาคู่นั้น เจสก็รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตไปทั่วร่าง ความรุ่มร้อนแผ่ซ่าน หัวใจเต้นโครมคราม เขาตกหลุมรักสายตาคู่นั้นทันที
ส่วนสูงเกินมาตรฐานชาวตะวันออก เส้นผมสีดำ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ รวมทั้งใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้น ช่างเป็นใบหน้าที่ยากแก่การพบเห็นได้บ่อยๆ
เจอแล้ว
วินาทีนั้นเองที่เจสก็ตะโกนก้องอยู่ในใจ คนในฝันที่ตนเฝ้าหามานาน ในที่สุดก็ปรากฏตัวในโลกแห่งความเป็นจริงเสียที
“ฉันไม่เคยลืมเลย”
เจสหวนนึกถึงเวลานั้นในอดีต
‘นายชื่ออะไรเหรอ ดูเหมือนว่าฉันจะช่วยนายได้นะ’
กว่าอีกฝ่ายจะยอมคลายความระแวดระวังภัยและยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวให้ฟังก็หลังจากที่เรือลำนั้นล่องออกมาไกลจากฝั่งแล้ว
‘…จอง…อู…’
แล้วร่างที่สั่นระริกของยอนโฮก็พลันไร้เรี่ยวแรงจนล้มลง ทันใดนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งมาทางนี้ แต่เจสไม่ใส่ใจ เพราะถ้าเขาไม่อนุญาต ก็ไม่มีใครหน้าไหนแตะต้องยอนโฮได้
นั่นเป็นเพราะว่าเจสเป็นถึงคนที่ครอบครองตราประทับของอัลเบร์โตผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
หลังจากลงจากเรือและเหยียบแผ่นดินอังกฤษ เขาก็ระดมทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาและค้นคว้ายารักษาให้แก่ยอนโฮ โดยใช้เวลาไปถึงครึ่งปีเลยทีเดียว แต่ยาที่ทำขึ้นกลับมีผลเพียงแค่หนึ่งเดือน ถ้ายอนโฮไม่รับยาอย่างต่อเนื่องร่างกายก็จะแย่ลงและเดินทางสู่ความตายในที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องมาหายอนโฮอย่างนี้เดือนละครั้ง
“แล้วเจอกันใหม่นะ”
ยอนโฮกล่าวลาด้วยใบหน้าเรียบเฉยต่างกับจิตใจอันร้อนรุ่มโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็หยิบหน้ากากมาสวม หยิบเสื้อคลุมมาถือไว้ แล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอกราวกับมีเรื่องด่วนที่ต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด
สี่ชั่วโมงก่อน
รถที่วิ่งมาอย่างยาวนานได้หยุดชะงักอยู่กับที่ราวสิบนาทีแล้ว หากต้องการไปให้ทันเวลาถ่ายทำคงต้องเร่งความเร็วให้มากขึ้นกว่านี้ การถ่ายทำในครั้งนี้เป็นฉากที่สำคัญอย่างมาก ผู้กำกับถึงกับเช่าคฤหาสน์ส่วนตัวที่ให้โร้ดสถาปนิกระดับโลกเป็นผู้ออกแบบ คฤหาสน์ใหญ่โตหรูหรานี้เป็นผลงานที่โร้ดภาคภูมิใจที่สุด แถมทัศนียภาพที่งดงามรอบด้านก็จะช่วยเสริมให้การถ่ายทำนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่กว่าจะเช่าคฤหาสน์หลังนี้ได้ผู้กำกับก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย นักแสดงและทีมงานจะต้องพร้อมถ่ายทำในวันและเวลาที่เจ้าของคฤหาสน์กำหนดเท่านั้น แถมเวลาที่อนุญาตให้ถ่ายทำยังมีเพียงแค่หกชั่วโมง
‘แย่แล้ว ขืนเป็นอย่างนี้การถ่ายทำคงล่าช้าแน่’
ผู้จัดการมองนาฬิกาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนเพราะเขาถูกผู้กำกับย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้รักษาเวลาในการถ่ายทำของวันนี้ด้วย
‘เกิดเรื่องอะไรเหรอ’
ชินลืมตาขึ้นและเอ่ยถาม
‘ไม่รู้สิ สงสัยเกิดอุบัติเหตุมั้ง ตำรวจกำลังปิดถนนไม่ให้รถวิ่ง เราก็เลยติดแหง็กอยู่ตรงนี้ ให้ตายเถอะ ทำไมจะต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ…’
ชินเลื่อนสายตามองผ่านหน้าต่างกระจกที่ติดฟิล์มดำทึบ ถนนฝั่งตรงข้ามมีกลุ่มคนประมาณสิบกว่าคนยืนอยู่ ล้อมชายคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น
‘ขอลงไปดูก่อนนะ’
ผู้จัดการรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งตรงไปยังกลุ่มคนพวกนั้น ชินมองตามผู้จัดการไป แต่แล้ววินาทีนั้นคิ้วของชินก็พลันขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
เขานึกถึงเรื่องราวตอนขึ้นเวทีเพื่อโปรโมตเสื้อผ้าของบริษัทที่เขาเคยถ่ายโฆษณาให้ วันนั้นผู้คนก็ยืนออกันเหมือนตอนนี้ ขณะที่เขากำลังก้าวขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปบนเวทีตามคำประกาศเรียกของพิธีกร จู่ๆ ก็มีแฟนคลับคนหนึ่งวิ่งมาคว้าต้นคอของเขา
‘คิมชิน!’
เสียงของผู้ชายดังขึ้น ชินที่เซไปพยายามตั้งหลักก่อนจะหันไปมองผู้ชายคนนั้นด้วยความตกใจ
แฟนคลับผู้ชายคนนั้นมีอายุราวๆ สี่สิบกว่า หนวดเคราเขียวครึ้มราวกับไม่ได้โกนมาหลายวัน เขาพยายามพูดอะไรบางอย่างกับชิน แต่เสียงร้องตะโกนของผู้คนรอบข้างทำให้ชินไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย และไม่นานนักทางทีมงานก็วิ่งมาลากเขาออกไป แต่ช่วงเสี้ยววินาทีชินก็ได้สบตากับเขา
ชายคนนั้นที่จ้องมาทางชินกำลังหัวเราะอยู่ แต่เป็นการหัวเราะที่ทำให้ชินรู้สึกหนาววาบ
ชินสะบัดหัวเพื่อให้หลุดออกจากความทรงจำในอดีต แล้วพิงหัวกับพนักเก้าอี้เหมือนเดิม คงเพราะเขายังรู้สึกเพลียอยู่จึงอยากจะหลับตาอยู่ตลอด แต่ขณะที่กำลังหลับตาอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังแวบผ่านด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขาจึงสะดุ้ง ลืมตาพร้อมกับเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน…คนที่วิ่งเข้ามาภายในตึกเพื่อค้นหาเขาที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง และเป็นคนเดียวกับที่ช่วยเขาเอาไว้อีกครั้งจากเงื้อมมือของชายเสื้อกันฝนเมื่อคืน
ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากและชุดสีดำ…
ชายคนนั้นกำลังวิ่งมาทางรถที่ชินนั่งอยู่ ชินจึงรีบเปิดประตูรถทันที เขาไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองใดๆ ทั้งสิ้น วินาทีที่เห็นคนคนนั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เขาก็รู้สึกว่าเท้าของตัวเองต้องเคลื่อนไหวคล้ายกับมีอะไรบางอย่างสั่งการ
‘ฆาตกรอยู่ในตึก!’
เสียงตะโกนของตำรวจดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน
และ…
‘โน่น ชายคนโน้นเป็นคนที่จับฆาตกรได้’
ใครคนหนึ่งชี้ไปยังชายสวมหน้ากากพลางตะโกนเสียงดัง เหล่านักข่าวที่เพิ่งสังเกตเห็นชายสวมหน้ากากวิ่งอยู่ไกลๆ จึงเริ่มวิ่งตาม
พอถึงสามแยกชายสวมหน้ากากก็หยุดชะงัก ท่าทางคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี ด้านหนึ่งก็มีกองทัพนักข่าวกำลังวิ่งพุ่งมา ด้านข้างคล้ายจะเป็นทางตัน ส่วนอีกทางเป็นทางสำหรับรถวิ่งที่มีรถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็ยากแก่การหลบซ่อน
แล้วเขาที่กำลังลังเลก็ถูกชินคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน
‘ขึ้นมาครับ’
ชินเอ่ย ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกแล้ว ฝูงนักข่าวกำลังพุ่งมาที่นี่ และเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
***
ผู้จัดการแอบมองชายสวมหน้ากากที่นั่งอยู่ข้างชินผ่านกระจกมองหลัง
‘ถามคนแถวนั้นมาแล้ว ได้ยินมาว่ามีคนช่วยจับคนบ้าที่เอามีดไล่ฟันเจ้าของร้านค้าได้ ว่ากันว่าจู่ๆ เขาคนนั้นเข้ามาแย่งมีดในมือของคนร้าย แถมคนร้ายไม่ได้มีแค่คนเดียวนะ แต่มีถึงสอง เท่ชะมัดเลยเนอะ หนึ่งต่อสองแต่ก็ยังสู้ได้ พี่ได้ยินว่าชายคนนั้นสวมหน้ากากด้วย…’
นานๆ ทีจะมีข่าวหนังสือพิมพ์เขียนถึงฮีโร่ แน่นอนว่าไม่มีคนร้ายคนใดที่จะมามอบตัวเองแน่ หากไม่มีใครบางคนจับมัดแขนมัดขาแล้วเอามากองไว้ที่หน้าสถานีตำรวจ คนร้ายก็คงจะลอยนวลต่อไป ชาวบ้านจึงต่างเรียกเขาคนนั้นว่าฮีโร่หรือเทวดาสีขาว
‘หรือว่า…’
ผู้จัดการมองชายคนนี้ด้วยสายตาสงสัย
‘คุณคือคนที่ช่วยชินไว้เมื่อคืนรึเปล่าครับ’
ผู้จัดการอดถามไม่ได้
‘…’
แต่ชายคนนี้ไม่ตอบ
‘ขอบคุณมากนะครับ ถ้าตอนนั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ ป่านนี้ชินคงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว’
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฮีโร่ที่ผู้คนยกย่องอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ ฮีโร่ที่มักปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คนยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต แต่เขาก็ยังมีข้อสงสัย
‘ระหว่างนั้นคุณหลบซ่อนตัวยังไงเหรอครับ’
ผู้จัดการเหลือบมองผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ เขาหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนได้อย่างไร มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ไม่มีใครเคยพบเจอหรือรู้เบาะแสของเขาเลย บ้างก็ว่าเพราะเขามีใบหน้าน่าเกลียดจึงต้องใช้หน้ากากปิดบัง บ้างก็ว่าที่เขาสามารถต่อสู้กับคนร้ายด้วยมือเปล่าได้คงเพราะเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว
‘ชิน นายโอเครึเปล่า’
ผู้จัดการไม่ค่อยสบายใจนักที่ปล่อยให้ชินนั่งคู่กับชายแปลกหน้า แต่สีหน้าของชินกลับผ่อนคลายกว่าปกติ ชินเอาแต่มองไปข้างหน้าโดยไม่เหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย
‘ขึ้นมาครับ’
ชินสังเกตเห็นดวงตาที่เบิกกว้างของอีกฝ่ายยามที่ถูกเขาคว้าแขน
‘คุณใช่มั้ยครับคนที่ช่วยผมเอาไว้เมื่อสิบปีก่อน’
ชินเอ่ยถาม
‘…’
‘และเมื่อวานนี้คุณก็ช่วยผมใช่มั้ยครับ’
‘…’
‘ขึ้นมาเถอะครับ ครั้งนี้ผมจะช่วยคุณเอง’
ชายสวมหน้ากากยังคงมองออกไปข้างนอก โชคดีที่คนด้านนอกมองไม่เห็นภายในรถที่กำลังแล่นไปยังสถานที่ถ่ายทำ
‘ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหนครับ’ ผู้จัดการเอ่ยถาม ‘ที่ผมถามเพราะผมไม่รู้ว่าจะให้คุณลงตรงไหน…’
ขณะที่รถกำลังวิ่งผ่านซอยเล็กๆ ที่มุ่งสู่ถนนใหญ่ จู่ๆ ประตูรถก็ถูกเปิดออก แล้วเขาก็กระโดดออกไปนอกรถ
“หยุด!”
ชินรีบตะโกนบอกผู้จัดการเมื่อเห็นภาพที่เขากลิ้งไปตามถนน