overgraY
The Star’s Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ บทที่ 3 #นิยายวาย
คำพูดของโชมินฮยองเมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด มินฮยองสูงกว่าเขาอยู่นิดหน่อย นิสัยสุภาพผิดกับรูปร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่พอถึงเวลางานก็จะกลายเป็นคนเฉียบขาดและพร้อมจะลงมือได้อย่างเลือดเย็น ดังนั้นเขาจึงยอมให้มินฮยองมาอยู่ข้างกาย
‘หากร่างกายของเด็กคนนั้นมีตราประทับแล้วล่ะก็ เด็กคนนั้นจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน ฉันนิ่งดูดายไม่ได้หรอก’
‘ตราประทับในร่างของคุณก็ถูกลบออกไปแล้ว ถึงขั้นปลูกถ่ายผิวขึ้นมาใหม่ ดังนั้นคงไม่มีใครรู้เรื่องนี้แน่ครับ ทั้งเรื่องที่คุณเป็นหนูทดลองและเรื่องที่คุณเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวนั่นด้วย ไม่ทราบว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปหรือไม่ แต่ผมคิดว่าคุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายนะครับ’
‘มินฮยอง’
ยอนโฮเดินเข้าไปใกล้
หลังจากที่ยอนโฮได้รับการช่วยเหลือจากเจสจนได้กลับมาที่เกาหลี มินฮยองเป็นเพียงคนเดียวที่จำเขาได้
มินฮยองเป็นลูกน้องเพียงหนึ่งเดียวที่เขารักใคร่มากที่สุดสมัยอยู่ในค่ายทหารหน่วยรบพิเศษ ยามที่เขาหายตัวไปจากค่ายฝึก มินฮยองก็พยายามสืบหาจนในที่สุดก็ได้ข่าวว่าเขาถูกจับตัวไปเป็นหนูทดลอง และมินฮยองก็เป็นคนที่ให้แผนผังตึกเพื่อให้เขาสามารถหลบหนีออกจากสถานที่คุมขังได้
ตอนที่มินฮยองได้ข่าวว่าเขาเสียชีวิตแล้วก็ถึงกับช็อกจนขอลาออกจากการเป็นทหาร แล้วในระหว่างที่มินฮยองกำลังใช้ชีวิตเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง เขาไม่อาจลืมภาพของมินฮยองที่ทรุดลงนั่งคุกเข่า ร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าเขาเมื่อวันนั้นได้เลย
‘ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ฝากงานทางนี้ด้วยล่ะ…นายคือพี่น้องที่ฉันไว้ใจเพียงคนเดียว’
‘จะต้องไปจริงๆ เหรอครับ’
เขาหันหลังให้กับมินฮยองที่กำลังมองมาด้วยแววตาเศร้าหมอง เขามาที่นี่เพื่อเป็นบอดี้การ์ดให้กับคิมชิน นักแสดงแถวหน้าของวงการบันเทิง ยอนโฮไม่เข้าใจว่าทำไมตราประทับนั่นถึงไปอยู่บนร่างกายของชินได้ เขาตกใจเมื่อเห็นภาพของชินที่เป็นลมระหว่างถ่ายทำปรากฏบนอินเตอร์เน็ต
ตัวอักษร GR ที่ประทับอยู่บนแผ่นหลังด้านขวาของชินมันเป็นตราประทับที่สลักลึกบนร่างของผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหนูทดลองในห้องใต้ดินเพื่อแยกพวกเขาออกจากคนทั่วไป
เมื่อสิบปีก่อนช่วงที่เขากับเจสเพิ่งกลับมาถึงเกาหลีได้ไม่นาน สถานที่ที่ผุดขึ้นในสมองเป็นที่แรกก็คือบ้านแห่งสันติสุขที่ชินอาศัยอยู่ แต่เมื่อไปถึงบ้านแห่งสันติสุขก็พบว่ามันกำลังถูกเปลวไฟโอบล้อมเสียแล้ว
มีเสียงของใครบางคนกำลังร้องไห้อยู่ภายในตึกที่ถูกเพลิงเผา เขาวิ่งตามเสียงร้องสะอื้นนั้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นชินอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มผู้มีผมหยักศกสีน้ำตาล และใบหน้าขาวราวกับหิมะ
คำแรกที่ชินเงยหน้าพูดกับเขาก็คือ
‘ผมผิดเอง ไฟพวกนี้…ผมไม่ได้ตั้งใจ’
ไม่รู้ว่าชินที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เอาแต่นั่งตัวงอ ไม่คิดหาทางเอาชีวิตรอดไปจากตึกแห่งนี้
‘ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก แล้วการที่นายจะทิ้งชีวิตเอาไว้แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะจัดการเอาสิ่งที่ขวางทางออกก่อนนะ รอฉันอยู่ที่นี่ล่ะ อย่าตาย จงมีชีวิตอยู่จนกว่าฉันจะกลับมา’
และเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ชินก็สลบไปแล้วเพราะสูดควันไฟเป็นเวลานาน ยอนโฮจึงอุ้มร่างของชินออกมาจากกองเพลิง
สิบปีผ่านไปแล้ว ชินที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อยคนนั้นกลับเติบโตมีรูปร่างสมส่วน
ยอนโฮที่ยังคงยืนกอดอกพิงกำแพงค่อยๆ เลื่อนสายตากลับไปที่ชินอีกครั้ง ชินที่รู้ตัวจึงเร่งมือใส่กางเกงและเข็มขัด เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยชินก็เอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกอย่างกระฟัดกระเฟียด แล้วรีบเดินผ่านยอนโฮไปอย่างรวดเร็ว
***
“ชิน เรื่องนั้นน่ะ”
ผู้จัดการมองกระจกมองหลังพลางเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อครู่สีหน้าของชินที่นั่งอยู่เบาะหลังบ่งบอกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์บูดสุดๆ ดูเหมือนพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
“บอดี้การ์ดคนใหม่น่ะหน่วยก้านดี น่าจะทำงานเก่งนะว่ามั้ย ได้ลองพูดคุยกันบ้างรึยัง”
“…”
“นายคงไม่รู้ แค่ลงประกาศหาบอดี้การ์ดไม่ถึงชั่วโมงก็มีคนตั้งหลายร้อยคนมาสมัครแน่ะ นี่ฉันเพิ่งรู้นะว่าประเทศเรามีคนทำงานเป็นบอดี้การ์ดมากมายขนาดนี้ ฮะๆๆ”
ผู้จัดการพยายามเค้นหัวเราะและหาเรื่องพูดต่อไป
“การเป็นบอดี้การ์ดของคิมชิน นักแสดงระดับประเทศน่ะโคตรถือเป็นเกียรติเลยนะ ฉันอุตส่าห์แหกขี้ตาอ่านอีเมลที่สมัครเข้ามาทั้งคืนจนถึงเช้ามืด เพราะคนที่จะมาคุ้มครองนายได้อย่างน้อยก็ต้องสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นต์ มีความสามารถด้านศิลปะป้องกันตัวระดับห้าขึ้นไป หินยิ่งกว่าหิน กว่าจะคัดได้”
ผู้จัดการรู้ดีว่าแม้ชินจะหลับตานิ่ง แต่หูกำลังฟังคำพูดของเขาอยู่
“สงสัยคงอยากเป็นบอดี้การ์ดของนายมาก…”
“ชื่ออะไรนะ”
“หือ?”
ผู้จัดการงุนงง นี่เป็นครั้งแรกที่ชินมีท่าทีสนใจคนอื่นแบบนี้
“จองยอนโฮ เขามีชื่อว่าจองยอนโฮ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ นายจำได้มั้ย คราวก่อนตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับประธานาธิบดี มีบอดี้การ์ดของบริษัทหนึ่งฝ่าอันตรายเข้าไปช่วยท่าน รู้สึกว่ายอนโฮก็อยู่สังกัดเดียวกับบอดี้การ์ดคนนั้น”
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของชิน ผู้จัดการก็พอจะวางใจได้เปลาะหนึ่ง
“จองยอนโฮ”
ชินพึมพำเบาๆ พร้อมกดกระจกรถลง ลมเย็นพัดเข้ามาจนเส้นผมพลิ้วไสว พอเหลือบตามองกระจกข้าง ก็เห็นรถสีดำที่ยอนโฮกำลังขับตามมา จากนั้นชินก็กดกระจกเลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชินหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ที่ยอนโฮเร่งฝีเท้ามาเปิดประตูรถให้
‘ไม่จำเป็นหรอก เป็นบอดี้การ์ดก็ทำตัวให้สมกับเป็นบอดี้การ์ดก็พอ…’
‘ขึ้น’
ยอนโฮพูดหน้าตายด้วยน้ำเสียงกดดัน ชินจึงได้แต่กัดริมฝีปากแน่นแล้วยอมเดินขึ้นรถแต่โดยดี
***
“อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเข้าฉาก นายนั่งรถมาตั้งนานคงเพลียน่าดู เดี๋ยวฉันไปซื้อกาแฟมาให้ดีกว่า ไหนดูซิแถวนี้มีร้านกาแฟมั้ยนะ”
ผู้จัดการพูดพลางเปิดประตูแล้วออกไปจากรถ ใช้เวลานั่งรถตั้งสามชั่วโมง หากเป็นเวลาปกติชินคงอ่อนล้าไม่น้อย แต่วันนี้ชินรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาด
ชินเลื่อนสายตามองออกไปนอกรถ รถบัสคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามายังสถานที่ถ่ายทำ เมื่อรถบัสจอด ทีมงานก็ช่วยกันขนอุปกรณ์ลงมา และทันทีที่ชินเปิดประตูรถก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“ชิน!”
“มาเร็วจัง”
เสียงของหลายคนดังเซ็งแซ่เข้าหูของเขา บางคนก็เป็นทั้งทีมงานและเป็นแฟนตัวยง
“ถ้าไปขอลายเซ็นเขาจะให้มั้ย ลองทักทายดูมั้ย”
“เขาจะยอมคุยกับคนอย่างเธอเหรอ”
เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งพูด ทีมงานชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขัดพร้อมกับยื่นอุปกรณ์ในมือให้แก่เธอพลางยักไหล่
“เดี๋ยวฉันไปขอให้แทนละกัน”
ชายคนนั้นหมุนตัวแล้ววิ่งปรี่เข้ามาอย่างเริงร่าทันทีที่เห็น ยอนโฮก็รีบลงจากรถมาขวางหน้าเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว แค่รูปร่างสูงใหญ่และแววตาพิฆาตก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไรเลย
“ขอคุยกับเขาหน่อยได้มั้ยครับ”
ยอนโฮส่ายหน้า ทีมงานชายคนนั้นจึงทำหน้าผิดหวังแล้วเดินคอตกจากไป
“ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ชินพูดเมื่อยอนโฮเดินใกล้เข้ามา “พวกเขาเป็นแฟนคลับของผมนะ”
“…”
“ขอไปเดินเล่นสูดอากาศหน่อยแล้วกัน” ชินพูดพลางเสยผมที่ถูกลมพัด
ชินสะบัดเสื้อนอกเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป คงเพราะนั่งรถเป็นเวลานานจึงไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ ในเวลาที่รู้สึกอย่างนี้การออกไปเดินเล่นย่อมให้ความรู้สึกสดชื่นมากกว่าอุดอู้อยู่ภายในรถที่คับแคบ แถมทิวทัศน์ยังสวยขนาดนี้จะไม่ให้ออกมาชื่นชมได้อย่างไร การได้เห็นใบไม้สีเขียวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บถือเป็นเรื่องที่ดีมาก
“บอกแล้วไงว่าอยากอยู่คนเดียว”
ชินหน้ามุ่ยทันทีที่หันไปเห็นยอนโฮเดินตามมา
“มันเป็นงานของผม”
“คนจ่ายเงินจ้างคุณก็คือผม ดังนั้นถ้าผมบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร…”
“ผมเป็นมือโปรพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด”
“นี่ ยอนโฮ” ชินหน้าแดง เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็นึกคำพูดที่เหมาะสมไม่ออก
“ก็ได้ ตามใจ แต่อย่ารบกวนผมก็แล้วกัน”
ชินหมุนตัวกลับ แล้วค่อยๆ สาวเท้าเดินไปตามทางที่เต็มไปด้วยก้อนกรวด เขาพยายามจดจ่อกับความสวยงามรอบตัว แต่เพราะยอนโฮที่เดินตามมาทำให้ภาพทิวทัศน์ต่างๆ ไม่ซึมเข้าสู่สมองแม้แต่น้อย เขาอยู่คนเดียวมาตลอดจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นักเมื่อมีคนมาอยู่ใกล้ๆ ยิ่งเขาคนนี้เหมือนกับใครคนนั้นที่เขาเคยไล่ตามและพึ่งพาในอดีตด้วย
ชินรีบสาวเท้าขึ้นบันได หลังจากที่ถูกลากไปให้ผู้หญิงพวกนั้นย่ำยี หากไม่เจอเหตุร้ายนั่น บางทีชินคงจะฆ่าตัวตายเพื่อตามเขาคนนั้นไปแล้วก็ได้
วันนั้นที่ได้เจอเขาครั้งแรก…เป็นวันที่อากาศหนาวเหน็บมาก น้องในสถานรับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมีไข้ขึ้นสูง เขาจึงแบกน้องขึ้นหลังแล้ววิ่งไปยังโรงพยาบาลในเมืองเพื่อรักษา และระหว่างทางกลับนั้นเองชินก็ได้พบกับเขาคนนั้นที่กำลังกลับจากการฝึกทหาร เขาคงจะรู้สึกสงสารถึงได้รับชินขึ้นรถเพื่อไปส่งยังสถานเลี้ยงเด็ก
‘ขอบคุณครับ เอ่อ ไม่ทราบว่าพอจะบอกชื่อได้มั้ยครับ’
‘ชื่อเหรอ อืม เราจะได้เจอกันอีกเหรอ’
‘ผมอยากตอบแทนบุญคุณน่ะครับ’
เขาระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของชิน
‘นายชื่ออะไรล่ะ’
‘ชินครับ คิมชิน’
‘ชินงั้นเหรอ ชื่อเท่ชะมัด ฉันชื่อลีจองอู’ เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ
ชินเร่งฝีเท้าขึ้นบันได พยายามไล่ความทรงจำที่ผุดขึ้นมา
แฮกๆ
ชินหยุดเดิน ก้มตัวลงพลางหอบ คงจะรีบเดินมากไปหน่อยจึงไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ลมหายใจกลับมาสงบเช่นเดิม ยอนโฮที่เดินเข้ามาใกล้จึงดึงไหล่ของชินให้ตั้งตรง
“สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ หายใจลึกๆ”
“คะ…แค่นี้…มะ…ไม่เท่าไหร่หรอก”
ชินปัดมือของยอนโฮออกไป ขณะที่ชินหายใจหอบ ยอนโฮกลับไม่มีเหงื่อแม้แต่เม็ดเดียว ช่างแข็งแรงอะไรอย่างนี้
เหมือนเขาคนนั้นมากจริงๆ
“ดูโน่นสิ”
“…”
“มาที่นี่เพื่อมาดูโน่นไม่ใช่หรอกเหรอ”
ยอนโฮยิ้มบางๆ พลางจ้องมองไปบนฟ้าไกล ชินจึงเลื่อนสายตามองตาม
“อา…”
ชินอุทาน ภาพของหมู่บ้านที่มองเห็นลิบๆ ดูสงบเงียบราวภาพที่ถูกรังสรรค์โดยฝีมือของจิตรกรในยุคกลาง ลวดลายหลากสีให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับไม่ใช่ฤดูหนาว ก้อนเมฆที่ลอยละล่องท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม
ยอนโฮจับราวกั้นแล้วยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชินกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันสวยงามตรงหน้า
“ดูเหมือนผู้จัดการของคุณกำลังตามหาคุณอยู่นะ”
เมื่อได้ยินคำนั้นของยอนโฮ ชินก็หันหน้าไปมองตามเส้นทางที่ตัวเองเดินมา ที่ปลายทางด้านโน้นผู้จัดการที่ดูตัวเล็กราวกับคนแคระกำลังวิ่งไปมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ภาพนั้นดูตลกจนชินระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“โถ พี่”
แต่แล้วชินก็ต้องหยุดหัวเราะเมื่อหันไปสบตากับยอนโฮที่กำลังมองมา จากนั้นก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก
“ผมขึ้นมาชมวิวแป๊บนึง ไม่ต้องตามหาขนาดนั้นหรอก ไม่เป็นไร ก็แค่ออกมารับลมหน่อย อืม เดี๋ยวเดินกลับไปนะ”
แล้วผู้จัดการที่อยู่ไกลๆ ก็มองขึ้นมาทางนี้
“คงต้องลงไปแล้วล่ะ”
ชินยิ้มบางๆ ก่อนจะหมุนตัวแล้วสาวเท้ากลับไปทางเดิม