overgraY
The Star’s Love Relationship รักลับของซูเปอร์สตาร์ บทที่ 4 #นิยายวาย
บทที่ 4
ระแคะระคาย
โฮสต์บาร์เปิดใหม่กลางย่านคังนัมที่ใช้ชื่อว่า ‘พาราไดซ์คลับเฉพาะสตรี’ มีขนาดใหญ่ หรูหราและทันสมัยที่สุดจนยากที่ร้านอื่นจะตามทัน ที่สำคัญคือมีห้องลับที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ต้องผลักผนังที่เป็นประตูลับเข้าไป ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อหลบเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ เป็นห้องที่สร้างไว้ให้แขก VVIP ที่ไม่อยากให้ข่าวของตัวเองรั่วไหลไปถึงหูของนักข่าว สถานบันเทิงแห่งนี้บริหารโดยฮันแซผู้เป็นหัวหน้าแก๊งซังดูซึ่งเป็นองค์กรมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
“มาแล้วเหรอครับลูกพี่”
ทันทีที่เห็นฮันแซซึ่งสวมถุงมือหนังสีดำ มีเสื้อโค้ตยาวคลุมไหล่เปิดประตูเดินเข้ามา เหล่าลูกน้องก็รีบหยุดทุกอย่างในมือแล้วพากันลุกขึ้น
ฮันแซกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นสุขุม ผิดกับใบหน้าเคร่งเครียดและร้อนรนของเหล่าลูกน้อง ข้างหลังเขามีชายร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปสองคนกำลังยืนทำหน้าถมึงทึง และยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกนับสิบ
ฮันแซ…
เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขาก็สามารถหยุดลมหายใจของเหล่าผู้คนภายในห้องอันเงียบเชียบแห่งนี้ได้
“สวัสดีครับ ลูกพี่”
ชายที่กำลังก้มหน้าอย่างเคารพนบนอบผู้นี้ชื่อว่าซังชอล เป็นทั้งลูกน้องและน้องร่วมสายเลือดของฮันแซ ซังชอลถือเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับที่สองของแก๊งซังดู
“จัดการทางโน้นเสร็จแล้วเหรอ”
ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบก้าวเข้ามาหยิบถุงมือที่ฮันแซถอดทิ้งลงพื้นขึ้นมา
“ครับ ลูกพี่ เมื่อจับตัวมันมาได้ไม่เท่าไหร่ เมียของมันก็ร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย สุดท้ายมันก็ยอมประทับลายนิ้วมือในเอกสารให้เราครับ”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวาน พวกเขาเข้าไปถล่มโฮสต์บาร์ที่ขึ้นชื่อที่สุดในย่านคังนัมจนพังยับเยินและยังจับตัวเจ้าของร้านมาทรมานจนยอมลงสัญญาว่าจะปิดร้านลง
และเมื่อร้านนั้นถูกปิดตัวลง โฮสต์บาร์แห่งนี้ที่อยู่ห่างจากที่นั่นไม่กี่กิโลเมตรก็ก้าวสู่อันดับหนึ่งแห่งเดียวของย่านคังนัมทันที
“พวกมันไม่ขัดขืนเหรอ”
“ก็แค่ค้าขายได้นิดๆ หน่อยๆ จะมามีปัญญาอะไรต่อต้านกับแก๊งซังดูของพวกเราล่ะครับ”
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันแซทันที
“ตอนนี้เราก็ได้ขึ้นเป็นโฮสต์บาร์ที่ดีที่สุดแล้ว แกก็ดูแลเด็กพวกนั้นให้ดีก็แล้วกัน…ถ้ามีเด็กคนไหนดูเข้าท่าก็จับมาไว้ที่ร้านนี้”
“ครับผม อ้อ ไม่รู้ว่าลูกพี่จะรู้จักรึเปล่านะครับ มาดามชองที่กว้างขวางทั้งในวงการการเมืองและวงการธุรกิจได้ตกลงทำงานกับพวกเราแล้วครับ”
“มาดามชองเหรอ”
ฮันแซที่นั่งอยู่บนโซฟายกมือข้างหนึ่งวางบนพนักพิงและยกขานั่งไขว่ห้าง
“เชิญชองเข้ามา”
เมื่อซังชอลสั่ง ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รีบหมุนตัวแล้วเดินไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว
ฮันแซมีเส้นผมสีดำระข้างแก้มและกรอบหน้า ทรงผมที่ดูจะยาวเกินทรงผมของผู้ชายทั่วไป…ไม่สิ มันยาวจนเกือบจะเรียกได้ว่าทรงผมบ็อบ ยาวจนผมข้างหนึ่งเลื่อนลงปิดตาข้างซ้ายของเขา นัยน์ตาขาวข้างหนึ่งที่มองไม่เห็นตาดำนั้นเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ บวกกับรอยแผลเป็นจากมีดที่ยาวจนถึงใต้ตาส่งผลให้ใบหน้าที่น่ากลัวอยู่แล้วยิ่งดูน่าผวาและน่าขนลุกขึ้นไปอีก
หากเปรียบกันแล้วซังชอลมีรูปร่างหน้าตาดีกว่ามาก ซังชอลทรุดตัวลงนั่งข้างฮันแซ ยกมือสองข้างรินเหล้าอย่างนอบน้อมให้ความรู้สึกแตกต่างจากคนพี่ยิ่งนัก แค่เพียงการปรากฏกายของฮันแซก็สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
หากแต่บุคคลที่มีใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวกระจ่าง และทรงผมแทรกกลางที่ถูกจัดแต่งไปยังด้านหลังอย่างเนี้ยบกริบผู้นี้มีนิสัยดุร้ายจนขึ้นชื่อในแวดวง เขาสามารถทำร้ายผู้คนได้อย่างโหดร้ายทารุณโดยไร้ความปรานี ใครก็ตามที่ทำให้เขาโกรธ เขาก็สามารถลงมือฆ่าคนเหล่านั้นได้อย่างเลือดเย็นจนคนรอบข้างรู้สึกหวาดเกรงเมื่ออยู่ใกล้ เอาเข้าจริงๆ แล้วผู้คนหวาดกลัวซังชอลมากกว่าฮันแซเสียอีก
“เรียกผมเหรอครับ”
ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นและมีผิวสีแทนเดินเข้ามาในห้อง
“นี่คือมาดามชองครับ เขาเป็นคนที่มีฝีมือและเทคนิคแพรวพราวมากในวงการนี้”
“งั้นเหรอ”
ฮันแซมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า เขารูปร่างหน้าตาดีมาก มิน่าล่ะถึงได้รับการขนานนามเป็นมาดามในวงการ คงจะมีฝีมือในการหาแขกผู้หญิงวัยกลางคนมากเลยทีเดียว
“ถอดสิ”
“ว่าไงนะครับ”
“ต้องให้พูดซ้ำเป็นครั้งที่สองรึไง”
เสียงทุ้มต่ำของซังชอลพุ่งไปยังมาดามชอง
“สั่งให้ถอดก็ต้องถอด ลูกพี่ก็แค่ต้องการเช็กของของนายก็เท่านั้น”
ใบหน้าของมาดามชองแดงก่ำคล้ายกำลังอับอาย หลังจากหันไปมองรอบห้องก็ยอมรูดซิปกางเกงลงช้าๆ
***
“คอนเซ็ปต์ของการถ่ายทำวันนี้ก็คือการตกหลุมรักของซาราเซียเทพีแห่งท้องทะเลกับมนุษย์ผู้ชาย พอชินวิ่งออกมาจากฝั่งโน้น น้ำทะเลก็จะหมุนวนยกตัวสูงและมีอัญมณีแห่งทะเลถูกวางไว้บนฝ่ามือของชิน จากนั้นเราก็จะย้ายไปถ่ายทำกันต่อในห้อง คิมชินกุมอัญมณีนั่นแล้วก็เข้าฉากรักกับเทพีสาว”
ทีมงานคนหนึ่งอธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาของการถ่ายทำของวันนี้ แค่ได้ยินข่าวว่าชินรับงานถ่ายโฆษณาเครื่องประดับ สาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าด ทั้งที่การถ่ายทำยังไม่แล้วเสร็จ หากแต่ยอดขายเครื่องประดับกลับพุ่งพรวด ด้วยสาเหตุนี้เองเหล่าผู้บริหารของบริษัทเครื่องประดับจึงพากันมาให้กำลังใจชินก่อนถ่ายทำ
“ฉากสุดท้ายก็จะย้ายกันไปถ่ายที่สระกระโดดน้ำกลางแจ้ง ชินประคองกอดอัญมณีไว้และครองรักกับเทพีผู้นั้นนิรันดร์ ซึ่งชินจะต้องถ่ายฉากกระโดดน้ำ ที่ไม่ใช่การลงน้ำทั่วไป แต่จะต้องกางแขนอย่างสง่างามเหมือนนกตัวหนึ่ง…พอจะเห็นภาพใช่มั้ยครับ ดังนั้นเวลาถ่ายทำให้ช่วยระวังเรื่องนี้ให้เราด้วยนะครับ”
เมื่อผู้กำกับสั่ง คนเขียนบทและทีมงานสองคนก็ก้าวเข้ามาแล้วอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการถ่ายทำและระยะการเคลื่อนที่ให้ฟังอีกครั้ง
“เร่งมือด้วยนะครับคุณผู้กำกับ ทราบใช่มั้ยครับว่าเมื่อวานชินเขาเพิ่งเข้าโรงพยาบาล วันนี้ก็ช่วยเบาๆ กันหน่อยนะครับ”
ผู้จัดการโค้งให้ผู้กำกับ แล้วยื่นกาแฟให้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างประจบประแจง
“ฉันก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่นายก็น่าจะรู้นิสัยของเจ้าของบริษัทเครื่องประดับนี้ดี แถมฝ่ายโฆษณาของบริษัทนี้ยังมีนิสัยเหมือนเจ้าของบริษัทอย่างกับโคลนนิ่งกันมา จู้จี้จุกจิกและละเอียดมาก ขืนถ่ายงานหยาบๆ ออกไปล่ะก็ คงได้สั่งให้ถ่ายใหม่แน่นอน ไม่เห็นเหรอว่าทุกคนในที่นี้ต่างก็เครียดกันทั้งนั้น”
“ทีมงานทุกคนเตรียมอุปกรณ์มากันอย่างครบถ้วนเพื่อการถ่ายทำที่แสนเพอร์เฟ็กต์ครั้งนี้ครับ” ทีมงานที่ยืนอยู่ข้างผู้กำกับคนหนึ่งรีบพูดเสริมขึ้นทันที
“แหม ผมก็แค่เป็นห่วงสุขภาพของชินเท่านั้นเอง ฝากด้วยนะครับ”
ในระหว่างที่ผู้จัดการกับผู้กำกับกำลังเจรจากันอยู่นั้น ชินก็กำลังนั่งแต่งหน้าเพื่อเตรียมเข้าฉาก
“กรี๊ด”
“กรี๊ดดด~”
ไม่รู้ว่าแฟนคลับบุกเข้ามายังสถานที่ถ่ายทำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเธอพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันตลอดเวลา คนนับร้อยที่เบียดเสียดอยู่รอบบริเวณล้วนเป็นแฟนคลับของชิน เมื่อแฟนคลับโบกมือให้ ชินก็รีบลุกขึ้นแล้วโค้งทักทายทันที การกระทำนั้นยิ่งเรียกเสียงกรีดร้องให้ดังขึ้นไปอีก แต่ยอนโฮกลับมองภาพนั้นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง สายตาคมกริบราวกับเหยี่ยวไม่มีผิด
ผู้จัดการมักจะเอียงหัวอย่างสงสัยทุกครั้งที่เห็นชินแอบมองยอนโฮเป็นครั้งคราว น่าแปลกเหลือเกิน
ตอนที่ชินขอไปเดินเล่นก่อนถ่ายทำแล้วเขาเห็นชินเดินกลับมาพร้อมยอนโฮ นึกว่าชินจะรำคาญบอดี้การ์ดคนนี้เสียอีก ตอนแรกที่เจอกันก็เห็นโวยวายและไล่ยอนโฮไป แต่เอาเข้าจริงๆ ชินกลับนิ่งอย่างผิดคาด
และตอนนี้ชินกำลังยิ้ม
“เกิดอะไรขึ้นกันนะ…”
ผู้จัดการพึมพำ
“ขอปลดกระดุมสองเม็ดนะครับ”
ยองชอลที่เป็นทั้งสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าปลดกระดุมเสื้อคอปกสีน้ำเงินออก เผยให้เห็นผิวขาวกระจ่างจนทำให้อดชมไม่ได้
“อา ผิวของคุณชินนี่สวยมากเลยนะครับ”
มือของเขาเลื่อนไปตามช่วงบ่าแล้วกระตุกปลายแขนเสื้อลง จากนั้นก็เริ่มลงมือทาครีมรองพื้นเนื้อบางบนช่วงคอและกระดูกไหปลาร้า เขาเป็นทั้งสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าที่มีฝีมือและเป็นมืออาชีพอย่างมาก สไตลิสต์หรือช่างแต่งหน้าผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่ผ่านมาล้วนแต่ตื่นเต้นและประหม่าเมื่อทำงานกับชิน พวกเธอมือสั่นและไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา แต่ยองชอลนั้นแตกต่างจากคนอื่น แม้หนึ่งในเหตุผลอาจเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นเป็นเพราะคนคนนี้อยากจะทำงานร่วมกันไปนานๆ ทั้งกับชินและทีมงานนี้
ผิวที่ขาวอยู่แล้วเมื่อลงรองพื้นก็ยิ่งเปล่งประกาย กระจ่างยิ่งกว่าเดิม เปลือกตาที่ปิดลง รูปหน้าดูละมุนละไม ช่วงคอระหง ช่างดูแตกต่างกับรูปร่างอันสง่างามของเทพเนปจูนที่หลงรักซาราเซียเทพีแห่งท้องทะเล รูปร่างของชินในตอนนี้ต่างหากล่ะที่ดูเหมือนกับเป็นอัญมณีเสียเอง
“ผู้ชายอะไรทำไมถึงได้งดงามขนาดนี้”
เสียงของทีมงานคนหนึ่งดังขึ้น
“นี่ล่ะน้า มนุษย์อัญมณี ฉันอยากได้ชินมากกว่าอัญมณีเสียอีก”
ยอนโฮพยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงของทีมงานผู้หญิงดังแว่วเข้ามา คำพูดของเธอถูกต้องมากๆ ร่างของชินยามกระทบกับแสงนั้นดูแวววาวงดงามจนไม่อาจละสายตาได้เลย
ถ้าสัมผัสแรงไปนิดก็คล้ายจะแตกสลายและเกรงว่าจะทำให้ผิวกระจ่างนั่นเกิดรอย รูปร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั่นก็น่านำไปเป็นแบบในการปั้นชิ้นงานศิลปะจริงๆ
“นี่ คนโน้นเขาจ้องคุณมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
ชินหันหน้าไปมองยอนโฮตามคำบอกของยองชอล
อา…
ยอนโฮคิ้วกระตุก ดวงตาหรี่ลงเมื่อมองเห็นใบหน้าที่กระทบแสงแดดของชิน
แสบตา
ภาพของชินที่เห็นนั้นดูสมบูรณ์แบบราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายกรีก จู่ๆ หัวใจของยอนโฮก็เริ่มเต้นแรงขึ้นจนต้องเบนสายตาไปที่อื่น
“เงียบหน่อยครับ ทุกท่านได้โปรดอยู่ในความสงบ ทราบใช่มั้ยครับว่าห้ามรบกวนตลอดการถ่ายทำ”
ระหว่างนั้นเองเหล่าทีมงานก็กระจายตัวเคลียร์พื้นที่ในการถ่ายทำซึ่งรายล้อมไปด้วยบรรดาแฟนคลับ
***
“ชิน ฉันไปคุยกับผู้กำกับและตากล้องมา พวกเขาบอกว่าการถ่ายทำครั้งนี้เป็นไปอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีใครถ่ายออกมาได้ดูดีเท่านายแล้ว ยากที่จะหาใครมาแทนที่นายได้!”
ผู้จัดการเดินเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างชิน ก่อนจะยื่นจานที่เต็มไปด้วยอาหารหลายอย่างที่ได้มาจากแฟนๆ ให้
“ยังไม่หิว”
ชินส่ายหน้า ในมือของเขายังคงถือแก้วชาร้อนที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่หลังจากถ่ายทำเสร็จ เมื่อเห็นชินส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่หิว ผู้จัดการก็หยิบน่องไก่ในจานยื่นให้เขา
“กินนี่หน่อยก็ยังดี อันนี้ไม่อ้วนหรอก”
“ไม่ได้กลัวอ้วน”
“งั้นทำไมไม่กิน เพราะนายไม่ค่อยกินข้าวแบบนี้ไงถึงได้ป่วยบ่อยๆ”
“ก็แค่ไม่อยาก”
พอเห็นชินไม่กินจริงจัง ผู้จัดการก็ยกถ้วยซุปสาหร่ายขึ้นซดแทน
“เขาไม่กินเหรอ”
ชินชี้ไปที่ยอนโฮที่กำลังยืนพิงต้นไม้ใหญ่และมองมาทางนี้
“นั่นสิ ลืมไปเลย คุณยอนโฮมาทานข้าวด้วยกันครับ”
เมื่อเห็นผู้จัดการกวักมือเรียก ยอนโฮก็ยืดหลังก่อนจะเดินตรงมา
“ทานให้อร่อยนะคะ”
แฟนคลับมักจะทำของว่างและอาหารอร่อยๆ มาให้ที่กองถ่ายเป็นประจำ และจากเหตุการณ์ที่มีคนกระชากคอเสื้อของชินในงานแฟนมีตติ้งเดือนที่แล้ว แฟนคลับจึงรู้สึกเสียใจและพยายามรักษามารยาทมากขึ้น
“นายน่ะไม่กินข้าวก็อิ่มทิพย์ได้ มีแฟนๆ ที่รักมากขนาดนี้”
ในระหว่างที่ผู้จัดการกล่าวพลางหัวเราะ ยอนโฮก็เดินมาถึง จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกแล้ววางคลุมบนไหล่ของชินด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“อะไรเนี่ย”
ทั้งผู้จัดการและชินถึงกับหันไปมองอย่างตะลึงกับการกระทำอันไร้ที่มาที่ไป แต่ยอนโฮยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย เขาทรุดตัวนั่งข้างชินแล้วดึงจานที่ชินดันออกเข้ามาใกล้ตัวเอง
“เอ่อ นั่น…ของชินนะครับ”
“ก็เห็นว่าไม่กิน น่าเสียดายถ้าต้องเอาไปทิ้ง”
ยอนโฮตอบหน้านิ่ง
“ใครบอกว่าไม่กิน เอามานี่ จะกินเดี๋ยวนี้แหละ”
ชินแย่งจานกลับมาจากยอนโฮแล้วดึงตะเกียบไม้ให้แยกออกจากกันอย่างแรง จากนั้นก็ลงมือกินไม่หยุด คราวนี้สายตาตกใจของผู้จัดการจึงเลื่อนไปที่ชินแทน ยอนโฮหันไปมองชินก่อนจะลุกขึ้นยืน
เมื่อชินเห็นยอนโฮเดินไปยังรถแจกอาหารก็วางตะเกียบในมือลง
“ทำไมพูดกับเขาสุภาพจังล่ะ” ชินหันไปถามผู้จัดการ
“ก็พอมองเขา ฉันรู้สึกประหม่ายังไงไม่รู้”
“แล้วทำไมพี่ต้องประหม่าด้วยล่ะ คนที่จ้างเขามาคือพี่ไม่ใช่เหรอ”
“ก็ดูหน้าเขาสิ ใครจะกล้า…”
ผู้จัดการรีบส่ายหัว