คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่หนึ่ง
บทนำ
อ่อนโยน
ฤดูใบไม้ผลิ
เหนือคลื่นน้ำสีเขียว ต้นหลิวเขียวขจีพลิ้วโบกตามสายลม
ชายหนุ่มนั่งงอเข่า พิงราวกั้นบนเรือสำราญด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย
เรือสำราญไม่ได้ประดับตกแต่งด้วยสีทองหรือสีเงิน แต่กลับมีขื่อแกะสลักและเสาวาดลวดลายอยู่ทุกที่ ภาพแกะสลักบนหลังคาโค้งมิใช่เซียนหรือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเทพธิดานุ่งน้อยห่มน้อย เรือสำราญที่สูงเท่าอาคารสองชั้นสร้างจากไม้หนานมู่ ด้านในช่องหน้าต่างกรุด้วยกระจกเจ็ดสีล้ำค่า ระเบียงทางเดินแขวนผ้าโปร่งไว้ พอตกกลางคืน แสงที่สะท้อนออกมาพาให้เรือสำราญทั้งลำดูเหมือนอัญมณีเม็ดใหญ่ เห็นแล้วชวนลุ่มหลงตาลาย
แม้จะเป็นตอนกลางวันเช่นวันนี้ เรือลำนี้ก็มักจะดึงดูดสายตาผู้คนได้เสมอ
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดม่านโปร่งบนเรือจนปลิว พัดต้นหลิวสีเขียวริมฝั่งจนพลิ้วไหว นักดนตรีด้านข้างบ้างเป่าเซิงและเซียว* บ้างบรรเลงพิณ ท่วงทำนองลอยล่องไปตามสายลม บนยกพื้นด้านหน้าตรงชั้นบนของเรือสำราญ นางรำกำลังร่ายรำตามเสียงเพลง
บางครั้งบางคราจะได้ยินเสียงหัวเราะหวานแว่วดังมาจากบนนั้น
แต่ยามนี้สตรีเหล่านั้นต่างมิได้มารบกวนเขา
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเรือไม่ได้รวบผมยาวขึ้นมาและใช้ปิ่นกลัดเป็นมวย แต่กลับปล่อยผมสีดำให้แผ่สยาย เสื้อด้านหน้าแบะออกครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแผงอกกำยำกว่าครึ่งอย่างไม่สอดคล้องกับขนบประเพณีแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีเชือกสีดำเส้นหนึ่งที่คล้องกุญแจอายุยืน** กับยันต์คุ้มภัยแขวนห้อยอยู่บนนั้น
เขาถือสุรากาหนึ่ง มองผู้คนที่สัญจรไปมาบนฝั่งด้วยสีหน้าเฉยชา ยกกาขึ้นจ่อปากดื่มสุราเป็นครั้งคราว
คนเหล่านั้นหลบเลี่ยงสายตาเขา ทว่าหลังจากเรือแล่นผ่านไปกลับชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์เรือสำราญหรูหราลำนี้
ในเมืองซูโจว ทุกคนต่างรู้จักเรือสำราญลำนี้และรู้จักเขา
เขาคือโจวชิ่ง
ไกลออกไป แม้จะสวมหมวกม่านและมีผ้าโปร่งขวางกั้นอยู่ นางที่อยู่บนฝั่งก็ยังมองเห็นเรือลำนั้น มองเห็นเขา
นางควรเบนสายตาออกไป
“โจวชิ่ง เป็นโจวชิ่ง…”
“โจวชิ่งมาแล้ว…”
“อย่ามองๆ รีบหันไปทางอื่น…อย่าจ้องเขา…”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์แผ่วเบาดังมาจากทิศทางที่เขาผ่านมาประหนึ่งคลื่นน้ำ
ราวกับสิ่งที่เรือลำนั้นแหวกฝ่ามิใช่เพียงน้ำ แต่ยังรวมถึงผู้คนบนท้องถนน
เขาคือจอมเผด็จการ
ทันทีที่เห็นเรือสำราญลำนี้ เห็นบุรุษผู้นี้ ข่าวลือทั้งหมดที่เคยได้ยินได้ฟังพลันผุดขึ้นมาในพริบตา
เขาหาใช่พระญาติหรือเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังมิใช่ขุนนาง ยิ่งมิใช่พ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง แต่ที่นี่ ไม่ว่าใครต่างต้องหวาดเกรงเขาอยู่สามส่วน
กว่าครึ่งของหอโคมเขียวและบ่อนพนันในเมืองนี้อยู่ภายใต้การจัดการของเขา อาชีพทั้งหลายล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของเขา ผู้คนทั้งหมดที่ทำมาหากินในเมืองนี้ ตั้งแต่พ่อค้าแผงลอยไปจนถึงคหบดีใหญ่ต่างรู้ว่าต้องมาทำความรู้จักกับเขาก่อน ขอการสนับสนุนจากเขาและซื้อยันต์คุ้มภัย
โจวเป้าพ่อของโจวชิ่งเคยเป็นโจรป่า หลังมอบตัวกับราชสำนักก็ได้เป็นขุนนาง แม้ตำแหน่งไม่ใหญ่นัก แต่โจวเป้ารู้จักใช้ช่องทางให้เป็นประโยชน์ เขาเป็นขุนนางเพียงเพื่อให้เป็นที่รู้จักเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ หาใช่การเป็นที่รู้จัก
หากแต่เป็นผลประโยชน์
ในช่วงเวลาสั้นๆ สิบกว่าปี โจวเป้ากำราบอำนาจน้อยใหญ่ในเมือง เขาใช้เงินทองติดสินบนขุนนาง ใช้วิชายุทธ์ข่มขู่พ่อค้า กลายเป็นจอมเผด็จการที่ชาวบ้านในเมืองซูโจวหวาดกลัวมากที่สุดไปนานแล้ว
คำว่าอดทนมีดาบอยู่บนศีรษะ คำว่าผลประโยชน์กุมดาบไว้ข้างมือ*
สิ่งที่โจวเป้าต้องการคือผลประโยชน์ เขาไม่เคยวางดาบเล่มนั้นเลยสักครั้ง
เขาที่ดูเหมือนเปลี่ยนจากคนเลวเป็นคนดียังคงเป็นโจรที่น่ากลัวมาตลอด เพียงแต่เขาเปลี่ยนวิธีการปล้นชิงอย่างชาญฉลาด ทั้งยังสามารถทำให้ผู้คนเป็นฝ่ายเอาเงินมาจ่ายให้เขาถึงที่บ้านแต่โดยดี
การทำการค้าในเมืองแห่งนี้จะต้องซื้อยันต์คุ้มภัยจากหอสุราของโจวเป้าที่ตั้งอยู่หน้าศาลเจ้า หากไม่จ่ายเงินซื้อยันต์คุ้มภัยจะเจอภูตผีปีศาจมารบกวนแน่
กิจการของโจวเป้าเจริญรุ่งเรือง เขาเปิดหอสุรา เปิดหอโคมเขียว เปิดบ่อนพนัน เปิดโรงจำนำ ผู้ฝึกยุทธ์และลูกน้องที่เป็นบริวารของเขามีมากจนใกล้เคียงกับกองทัพขนาดย่อม แม้แต่ทางการเองยังหลับตาข้างลืมตาข้างกับพฤติกรรมของเขาด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
โจวเป้าเป็นจอมเผด็จการที่ชั่วร้ายมาก อหังการยิ่ง
ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ พ่อค้าที่พยายามจะร้องเรียนเขา ต่อต้านเขา สุดท้ายหากมิใช่ถูกปองร้ายจนติดคุก ต้องพลัดพรากจากลูกเมีย ก็คือชีวิตน้อยๆ ต้องดับสูญไป
สามปีก่อนโจวเป้าล้มป่วยและไม่ค่อยปรากฏตัวอีก แทบจะหายหน้าหายตาไป ผู้คนคิดว่าหลังจากโจวชิ่งลูกชายเขารับช่วงต่อแล้ว บางทีสถานการณ์อาจดีขึ้น
คิดไม่ถึงว่าโจวชิ่งจะเหมือนผู้เป็นพ่อ
บางทีวิธีการของคนผู้นี้ยังโหดเหี้ยมกว่าพ่อของเขาด้วยซ้ำ ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม
เรือสำราญค่อยๆ แล่นผ่านนางไป สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปะทะใบหน้า หอบเอาผ้าโปร่งบางที่ทิ้งตัวลงมาจากขอบหมวกให้ปลิวขึ้น เผยให้เห็นใบหน้านาง
เขามองเห็นนางและประสานสายตากับนาง
นางควรเบนสายตาออกไปเหมือนคนอื่นๆ บนท้องถนน เหมือนเหล่าสตรีพวกนั้นที่แค่เห็นเงาของเขาก็คล้ายจะเป็นลม อย่างน้อยก็ควรประหม่าเหมือนสาวใช้ข้างกายนาง
“คุณ…คุณหนู…” เสียงของหลิงเอ๋อร์สั่นระริก พยายามเตือนเสียงค่อย แต่กลับพูดไม่รู้เรื่อง สุดท้ายเสียงก็ขาดหายไป
นางไม่ได้เบนสายตาออกไป แต่ประสานสายตากับเขาท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิและต้นหลิวสีเขียวขจี
มองเขานั่งเรือที่แล่นมาช้าๆ มองเขาผ่านหน้าไปอย่างเชื่องช้า มองเขาที่จ้องมองนางอย่างเย็นชา
ชายผู้นั้นมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาหยุดที่เท้าของนางที่สวมรองเท้าผ้าปัก
การจับจ้องเพียงชั่วเวลาสั้นๆ นั้นทำให้หัวใจนางบังเกิดความว้าวุ่น
เขาจงใจ นางรู้
นางต่างจากหญิงสาวบ้านอื่นที่พอมีเงินในเมือง นางไม่ได้รัดเท้า แม้แต่หญิงสาวส่วนใหญ่บนเรือของเขายังรัดเท้า ยุคสมัยนี้สตรีต่างต้องรัดเท้า นั่นเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกฐานะอย่างหนึ่ง การรัดเท้าหมายถึงที่บ้านมีปัญญาเลี้ยงดูสตรีอย่างดี สตรีในบ้านย่อมสามารถแต่งเข้าสกุลที่ดีได้
แต่นางไม่ได้รัดเท้า
พ่อนางร่ำรวยมาก แต่แม่นางไม่ได้เป็นที่รัก
ชายหนุ่มช้อนตาขึ้นช้าๆ มองหน้านางแล้วเลิกคิ้วให้ จากนั้นก็ยกกาสุราขึ้นมาจ่อปากดื่มอึกหนึ่ง
พอเขาลดกาสุราลง สุราทำให้ริมฝีปากเขาชุ่มชื้น ภายใต้แสงแดดฤดูใบไม้ผลิ ปากเขาแดงกว่าปากสตรีเสียอีก เหมือนทาด้วยชาดอย่างไรอย่างนั้น
ลมหยุดพัดแล้ว ผ้าโปร่งที่ติดกับหมวกม่านของนางทิ้งตัวลงมาอีกครั้ง
ทว่าแม้จะมีผ้าโปร่งสีขาวขวางกั้น นางก็ยังคงเห็นว่าบุรุษผู้นั้นจ้องมองนางอยู่ มุมปากกระดกน้อยๆ สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเจือแววเสียดสี
สีหน้าเย้ายวนเช่นนั้นแฝงไว้ด้วยความงามเฉิดฉันดูมีเสน่ห์ ทั้งที่เป็นบุรุษ แต่กลับน่าหลงใหลยิ่งกว่าสตรี เห็นแล้วทำให้หัวใจเต้นรัวอย่างไร้สาเหตุ
นางดึงสายตากลับมาแล้วหันหน้าเดินจากไป
หลิงเอ๋อร์รีบตามมา
ทว่าแม้จะหันหลังให้บุรุษผู้นั้นแล้ว นางก็รู้ว่าเขายังคงมองนางอยู่ นางรู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแรงอย่างชัดเจน
…ตามติดเหมือนเงา
…คอยไล่ตามนาง