overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 1 #นิยายวาย
สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ฝันร้ายอันยากจะลืม
ความจริงแล้ว…เขาแตกต่างจากผู้อื่นที่ใดกันแน่ เหตุใดใครๆ จึงต่างรังเกียจเขาเช่นนี้
ส่วนลึกในเรือนหลังใหญ่ ตรงสุดทางเดินริมศาลากลางสระน้ำ ด้านข้างห้องเก็บฟืนมีห้องเก่าๆ มืดทึมซึ่งทุกคนต่างพากันหลบเลี่ยง ประตูห้องบานนั้นถูกปิดไว้ตลอดปีราวกับต้องการกักขังวิญญาณร้ายเอาไว้ด้านใน บางครั้งก็มีกลิ่นเหม็นอับโชยมาตามลม
หญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับหน้าต่างบานเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวในห้อง อาศัยแสงที่ลอดเข้ามาจากรอยแยกปะชุนผ้าเก่าขาดผืนหนึ่งไม่หยุด บางครั้งก็ครวญเพลงไม่เป็นทำนอง บางครั้งก็หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
หญิงสาวนางนั้นตัวผอมบางขาวซีด ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูประหลาด บนร่างสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อหยาบตัวใหญ่หลวมโพรกชั้นหนึ่ง สองเท้าเปล่าเปลือยไม่ได้สวมรองเท้า
ในห้องเก่าซอมซ่อนี้ไม่ได้มีนางแค่คนเดียว ตรงปลายเตียงซึ่งทำจากไม้กระดานยังมีเงาร่างผอมแห้งเงาร่างหนึ่งนั่งคุดคู้ ค่อยๆ แทะหมั่นโถวที่ทั้งเย็นทั้งแข็งอย่างระมัดระวัง
หญิงสาวพลันเงยหน้าขึ้นส่งเสียงเรียก ‘เจ้ามานี่สิ’
เงาร่างที่คุดคู้นั้นคือเด็กน้อยอายุประมาณแปดเก้าขวบ สภาพผอมแห้งอ่อนแอไม่ต่างกัน บนร่างเขาสวมเสื้อผ้าเก่าซึ่งเห็นได้ชัดว่าขนาดเล็กไม่พอดีตัว ครั้นเด็กน้อยได้ยินเสียงเรียกก็พลันแสดงอาการหวาดกลัวออกมา
‘ข้าบอกให้เจ้ามานี่’ หญิงสาวหยุดมือที่กำลังปะชุนเสื้อผ้า ดวงตาหรี่ลงจ้องมองเขาเขม็ง แววตากึ่งขุ่นมัวกึ่งแจ่มใส
เด็กน้อยเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาปล่อยให้หญิงสาวนำผ้าผืนนั้นทาบบนร่าง
‘ลูกแม่ เสื้อตัวนี้แม่เย็บเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเชียวนะ’ หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม สีหน้าอ่อนโยนอยู่บ้าง
เด็กน้อยลดความระแวดระวังลงพลางฉีกยิ้มกว้าง ขานรับเสียงเบา ‘ขอบ…ขอบคุณท่านแม่’
หญิงสาวสวมกอดเขา ครวญเพลงไปด้วยลูบหลังเขาไปด้วย
แต่ผ่านไปได้ไม่นาน จู่ๆ หญิงสาวก็พลันหันมาจ้องเขาตรงๆ มองไปมองมาก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้นอย่างผิดปกติ เด็กน้อยเห็นเช่นนั้นก็รีบเบี่ยงกายคิดจะหลบหนีแต่ไม่ทันการณ์ หญิงสาวคว้าแขนเขาไว้ราวกับอินทรีตะครุบลูกไก่ นางกระชากหางเปียของเด็กน้อย ลากให้กลับมาเผชิญหน้ากับตน เสียงแหบพร่าน่าสยดสยองราวกับปีศาจร้ายตะโกนดังลั่น ‘ข้าไม่เชื่อว่าจะกำจัดเจ้าไม่ได้ เจ้าของสกปรกน่ารังเกียจ ไยไม่ลงนรกไปเสีย…’
‘ท่านแม่ ท่านแม่! อย่าขอรับ! ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว…’
เด็กน้อยร้องไห้โฮอย่างตื่นตระหนก หญิงสาวแทงเข็มลงบนท่อนแขนซึ่งคว้าเอาไว้ได้ไม่ยั้ง เลือดหยดใหญ่ผุดซึมออกมาหยดแล้วหยดเล่า
ปัง!
ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างหยาบคาย สตรีสองนางก้าวเข้ามา มองภาพตรงหน้าด้วยความเดียดฉันท์ หนึ่งในนั้นเข้าไปลากตัวหญิงสาวออกมา ทว่ากลับถูกกัดเข้าอย่างแรง
‘นางสารเลว กล้ากัดข้าหรือ!’ สตรีนางนั้นด่าทออย่างโกรธจัด ดึงมือกลับมาพร้อมฉวยโอกาสตบหน้าหญิงสาวไปด้วย
เสียงตบดังชัด หญิงสาวร้องเสียงหลงก่อนจะเซล้ม แก้มข้างหนึ่งบวมแดง หมดสติไป
‘เจ้าตีนางทำไม นายท่านกำลังรอให้พวกเราพาตัวนางออกไปอยู่นะ’
สตรีผู้ถูกกัดทำหน้าบูดบึ้ง เอ่ยอย่างไม่พอใจ ‘ใครใช้ให้นางบ้านี่กัดข้าเล่า!’
‘คราวนี้ลำบากแน่…’
คนทั้งสองทำสีหน้าปั้นยาก หนึ่งในนั้นพลันเหลือบไปเห็นเด็กน้อยที่แอบอยู่ตรงมุมห้องอย่างตื่นตระหนก แววตานางไหววูบ ก่อนจะหันไปกระซิบกับอีกคน
‘อะไรนะ…ไม่เหมาะกระมัง’
‘ก็แค่ของโสโครก ไม่มีผู้ใดใส่ใจเขาหรอก’ สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเบา
ดวงหน้าของเด็กน้อยยังเปรอะไปด้วยน้ำตา เขามองสตรีทั้งสองซุบซิบกันไปมา ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาลากตัวเขาออกไป
‘ปล่อยข้านะ…’
สตรีทั้งสองสบตากัน ก่อนจะเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม ‘เจ้าอยากออกไปจากที่นี่มิใช่หรือ ป้าพาเจ้าออกไปดีหรือไม่’
‘ใช่แล้ว เจ้าจะได้ออกไปเที่ยวเล่น กินให้อิ่มหนำอย่างไรเล่า’
เด็กน้อยส่ายหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่รู้ประสาแต่ก็ไม่ได้โง่เง่า เขารีบเอ่ยตอบเสียงค่อย ‘ท่านแม่บอกว่าข้าออกไปจากห้องไม่ได้’ ท่านแม่บอกว่าผู้คนข้างนอกไม่อยากเจอเขา
‘แม่ของเจ้ากำลังป่วย นางไม่อาจขังเจ้าไว้เช่นนี้ได้ชั่วชีวิตหรอก’ สตรีนางหนึ่งล่อหลอกเขา ‘พวกเราจะพาเจ้าไปพบนายท่านผู้มีอำนาจสูงสุดของที่นี่ วันนี้นายท่านอารมณ์ดีมาก เจ้าอยากได้อะไรก็เอ่ยขอกับนายท่านได้เลย’
เด็กน้อยมองพวกนาง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตั้งแต่จำความได้เขาก็อาศัยอยู่ในห้องเก่าๆ นี้มาตลอด บางครั้งจะแอบออกไปเล่นที่ห้องเก็บฟืนด้านข้าง หรือไม่ก็แอบอยู่ตรงมุมห้องครัว มองคนยกอาหารเดินไปมา ถ้าหากนายท่านผู้นั้นมีอำนาจอย่างที่พวกนางว่าจริง เขาก็อยากจะขอให้ตนกับมารดาย้ายไปอาศัยอยู่ในห้องที่ไม่มีกลิ่นอับ อบอุ่น และดีกว่าที่นี่
ครั้นเห็นเด็กชายไม่ต่อต้านอีก สตรีทั้งสองนางก็รีบอุ้มเขาเดินออกไปจากห้อง
เขาถูกแปลงโฉมเสียใหม่ เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน จากนั้นก็ถูกพาไปยังชั้นบนของหอที่หรูหราตระการตาแห่งหนึ่ง
เรื่องหลังจากนั้น เขาจำได้ไม่ครบถ้วนนัก มันเหมือนภาพวาดที่บิดเบี้ยว เหมือนตัวอักษรที่ไม่เป็นระเบียบ เหมือน…ดินแดนแห่งจินตนาการที่ไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์
ครั้นนายท่านที่พวกนางเอ่ยถึงได้เห็นเขาก็ตกตะลึงอย่างมาก ในความตกตะลึงนั้นมีความยินดีปรีดา อีกฝ่ายร้องเรียกเขาคำหนึ่ง ฟังแล้วคล้ายจะเป็นชื่อของหญิงสาว หลังจากนั้นนายท่านก็สั่งคนให้เตรียมอาหารหลายอย่าง ให้ปรนนิบัติเขากินข้าว ให้เตรียมน้ำอาบพร้อมกับเครื่องหอมชั้นดี ปรนนิบัติเขาอาบน้ำ จากนั้นยังเรียกสตรีนางหนึ่งเข้ามาช่วยสางผมถักเปียให้เขาอย่างดี
นายท่านผู้นั้นเอนกายอยู่บนเตียงเตาที่อยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้น ระหว่างที่มองดูก็จิบสุราไปด้วย กลิ่นสุรายิ่งนานยิ่งเข้มข้น
เด็กน้อยเปลือยกายแช่อยู่ในน้ำอุ่น ไม่นานก็รีบลุกขึ้น บอกว่าจะไปปลดทุกข์
และนับจากตรงนั้น ดินแดนแห่งจินตนาการก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นนรกบนดิน
นายท่านโบกมือสั่งให้สตรีในห้องรีบถอยออกไป ก่อนจะถือถ้วยลายครามเดินโงนเงนเข้ามาอย่างเบิกบานใจ คุกเข่าลงข้างอ่างน้ำ แล้วยกถ้วยลายครามขึ้นรองตรงกลางระหว่างขาของเขา ออกคำสั่งให้เขาปลดทุกข์ใส่ในถ้วย
เขาส่ายหน้าไม่ยินยอม สีหน้าของนายท่านเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาคาดไม่ถึงเลยว่านายท่านผู้มีอำนาจจะยื่นใบหน้าเข้าหาส่วนนั้นของเขา ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นหลอกล่อให้เขาปลดทุกข์ ปลายลิ้นแลบออกมาพลางพ่นลมหายใจอุ่นร้อนไม่หยุด พูดหลอกล่อไปมา ก่อนจะอ้าปากอมส่วนนั้นเข้าไป!
“อย่านะ!”
เสียงทุ้มต่ำตะโกนก้อง เด็กหนุ่มคนหนึ่งผุดลุกขึ้นจากเตียง หอบหายใจไม่หยุด เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วร่าง เขากุมขมับอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะค่อยๆ ลงจากเตียง รินน้ำดื่มพลางนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่ข้างโต๊ะ
เขาไม่ได้คิดถึงความทรงจำที่เป็นดั่งเนื้อร้ายน่ารังเกียจนั่นมาหลายปีแล้ว เขาหลงคิดว่าตนจะสลัดมันทิ้งไปได้เสียอีก แต่ทว่าความฝันกลับย้ำเตือนอย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยังเป็นเด็กน้อยที่สกปรกโสมมไปทั้งตัวคนนั้น
บานประตูพลันถูกผลักเปิดออกเบาๆ
เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะขยับ ด้วยรู้ดีว่าผู้มาเป็นใคร เขาเอ่ยถามเสียงแหบพร่า “ข้าทำท่านตื่นหรือ”
คนผู้นั้นเดินมาอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่ม ก่อนจะนั่งลงแล้วยื่นมือเข้ามาหวังจะซับเหงื่อบนหน้าผากให้ ทว่ากลับถูกปัดออก
“อย่าทำให้เสื้อผ้าของท่านต้องสกปรกเลย”
ในความมืด ดวงตาของผู้มาวูบไหวเปล่งประกาย น้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้น “ข้าไม่เคยรังเกียจว่าเจ้าสกปรก”
เด็กหนุ่มได้ฟังก็อบอุ่นในหัวใจ อดเอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งไม่ได้ “นายท่าน”
“บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าอย่าเรียกข้าว่านายท่าน” คนผู้นั้นคว้ามือเขาไว้
เด็กหนุ่มก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเรียกใหม่อีกครั้ง “พี่สาม”*
“ข้านอนไม่หลับ เจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าที” ชายผู้ถูกเรียกว่าพี่สามเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
เขารู้เจตนาของอีกฝ่ายจึงรีบส่ายหน้า “พี่สามกลับไปพักผ่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าก็จะนอนแล้ว”
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของเขา พูดติดตลกว่า “ที่นอนของข้าเพิ่งเปลี่ยนฟูกใหม่ ข้าไม่ชอบกลิ่น”
“โชคดีที่เตียงของข้าเก่าแล้ว” เด็กหนุ่มผ่อนคลายลง ก่อนจะตามไปนั่งตรงขอบเตียง ระหว่างที่ลังเลอยู่ก็ถูกดึงให้ล้มตัวลงนอน
คนทั้งสองนอนไหล่ชนไหล่ ท่ามกลางความมืดยามราตรี ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นเท่านั้น
“ข้าไม่ควรให้เจ้าไปสอดแนมในวังขององค์ชายสิบ” คนผู้นั้นถอนหายใจ
“ข้าก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ” บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นองค์ชายสิบใช้กำลังลวนลามเป้ยเล่อ** น้อยกับตาตัวเอง จึงไปกระตุ้นความหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขาฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เงียบเสียจนเสียงเข็มตกลงพื้นก็ยังได้ยิน ทว่าคนทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงกลับไร้ความง่วงงุน เอาแต่จ้องมองเพดานห้อง
ฉับพลันหนึ่งในนั้นก็พลิกกาย ยื่นแขนโอบคนข้างๆ เข้ามากอด ใช้เสียงแผ่วเบากระซิบที่ข้างหู “นับแต่นี้ข้าจะไม่ให้เจ้าจากไปไหนแม้เพียงครึ่งก้าว…หรูซิ่วของข้า”
* ในสมัยราชวงศ์ชิง มีการใช้ภาษาแมนจูในการเรียกตำแหน่งองค์ชายหรืออาเกอ ‘阿哥’ ซึ่งพ้องกับภาษาจีนคำว่าเกอ ‘哥’ ที่แปลว่าพี่ชาย
** เป้ยเล่อ เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยชิงซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ชั้นยศสูงสุด ได้แก่ ชินอ๋อง จวิ้นอ๋อง เป้ยเล่อ และเป้ยจื่อตามลำดับ อาจเป็นบุตรของอ๋องหรือองค์หญิง หรือฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งตามพระบรมราชวินิจฉัยและความดีความชอบ