overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 2 #นิยายวาย
ใจปรารถนาที่ถาโถม ดวงจิตที่โจนทะยาน
ผ่านไปสิบวันติดต่อกัน เมื่อใดที่องค์ชายสามมีเวลาว่างก็จะเรียกเด็กน้อยเข้ามาหา สอนเขาถือพู่กันเขียนอักษรด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังกระตุ้นให้เด็กน้อยฝึกคัดลอกอักษรข่ายซู* ที่ตนเขียน
องค์ชายสามเริ่มศึกษาตั้งแต่อายุได้หกขวบ ไม่เคยขาดอาจารย์มากชื่อเสียงผู้ทำหน้าที่คอยชี้แนะ ทั้งการเขียนอักษรหรือเนื้อหาบทเรียน ข้างกายยังมีชนชั้นสูงลูกหลานแปดกองธงเป็นสหายร่วมเรียนจำนวนมาก แน่นอนว่าเมื่อเขาได้ทำหน้าที่อาจารย์เป็นครั้งแรก อีกทั้งลูกศิษย์ยังเป็นเด็กน้อยน่าสงสารที่ตนช่วยเอาไว้ จะไม่ทุ่มสุดตัวสั่งสอนได้อย่างไร
ที่ทำให้องค์ชายสามตื่นเต้นยินดีก็คือเด็กน้อยฉลาดเฉลียวกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ไม่เพียงมีพรสวรรค์เหนือกว่าบ่าวรับใช้ในวังที่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่ยังเหนือกว่าสหายร่วมเรียนในอดีตเสียอีก เขาคัดกลอนห้าพยางค์สี่วรรคออกมาหลายบทด้วยความตื่นเต้น วันต่อมาเด็กน้อยก็ท่องจำได้อย่างไม่มีตกหล่น องค์ชายสามดีใจยิ่ง ทุกวันจึงคัดกลอนสิบบทให้เด็กน้อยท่องจำ รวมทั้งคัดลอกตัวอักษรง่ายๆ จากในบทให้
‘หญิงงามมองม่านมุก รอนานทุกข์ขมวดคิ้วสวย เพียงเห็นน้ำตารินโรย มิรู้เจ้าเคืองผู้ใด’
เสียงใสดังแว่วมา ครั้นองค์ชายสามเดินเข้ากระโจมก็เห็นเด็กน้อยคัดอักษรไปด้วยอ่านออกเสียงไปด้วย จึงไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาใกล้ เพียงแต่เด็กน้อยใช้น้ำเสียงเจื้อยแจ้วอ่านกลอนบทนี้ออกมา กลับทำให้องค์ชายสามรู้สึกลนลานเก้อกระดากอยู่ในใจ โชคดีที่ในกระโจมไม่มีคนอื่น
เขาเพียงรู้สึกต้องใจกลอน ‘ย่วนฉิง’** ของหลี่ไป๋*** ขึ้นมาชั่ววูบ เพราะบางครั้งที่มีงานเลี้ยงจัดขึ้นในวัง เขามักจะเห็นพระมารดาแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราไปร่วมงาน แต่กลับนั่งเหม่อลอยเพียงลำพัง คิ้วเรียวสวยแฝงด้วยความระทมทุกข์ ตรงตามที่กลอนบรรยายเอาไว้ แต่คาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะท่องกลอนบทนี้สื่ออารมณ์ได้ดียิ่ง
เขาเข้าไปยืนข้างโต๊ะหนังสือเงียบๆ เด็กน้อยเขียนคำว่าหลี่ไป๋สองคำลงบนกระดาษ ขณะลากพู่กันเขียนคำว่าหญิงงามใกล้จะเสร็จ จู่ๆ ก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาขยี้ตา
‘เป็นอะไรไป’ องค์ชายสามถาม น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน
เด็กน้อยก้มหน้า ตอบเสียงเบา ‘คิดถึงท่านแม่’
องค์ชายสามนิ่งงัน ไม่คิดเลยว่าเด็กน้อยอ่านกลอนบทนี้ครั้งแรกก็โศกเศร้าถึงเพียงนี้ ความรู้สึกของเด็กน้อยคล้ายกับตัวเขาในวันที่คัดกลอนบทนี้ไม่มีผิด เห็นทีมารดาของเด็กน้อยก็เป็นผู้เจ็บปวดที่ถูกหมางเมินเหมือนกับพระมารดาของเขา
‘เจ้าอยากกลับไปหาแม่หรือ…’
เด็กน้อยรีบส่ายหน้า ‘ข้าจะอยู่กับนายท่าน’
องค์ชายสามเห็นเขามีท่าทีหวาดกลัวก็ลูบหัวเขาเบาๆ ไม่ซักไซ้อีก เพียงหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาดูลายมือของเด็กน้อยอย่างละเอียด คิดดูแล้วก็เพิ่งจะผ่านมาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เด็กน้อยกลับเรียนรู้ตัวอักษรได้มากมาย อีกทั้งยิ่งเขียนก็ยิ่งงาม ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าคงจะตั้งใจมาก’ เขาพยักหน้าชื่นชม เมื่อเงยหน้าก็เห็นเด็กน้อยมองมาด้วยแววตาเปล่งประกาย คล้ายมีคำจะพูด จึงหัวเราะเบาๆ พลางถาม ‘มีอะไรหรือ’
‘นายท่าน’ สีหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความคาดหวังแฝงความเขินอายอยู่เล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น ‘นายท่านจะเรียกข้าว่าอะไรหรือ’
องค์ชายสามฉีกยิ้มกว้างน่ามอง ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งที ‘ข้าเกือบจะลืมไปเสียแล้ว ขอข้าคิดก่อนนะ’
เด็กน้อยเขินอายอยู่บ้าง แต่มองมาที่เขาไม่ยอมละสายตาไปไหน องค์ชายสามพินิจมองอย่างละเอียด ครั้งแรกที่ได้เจอก็รู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดู เมื่ออยู่ร่วมกันช่วงเวลาหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเด็กน้อยไม่เพียงมีเครื่องหน้าละเมียดละไม แววตาและสีหน้าก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง พอเห็นลายมือ แม้จะยังไม่เก่งกาจ แต่ลายพู่กันก็ปรากฏให้เห็นความประณีตอยู่ในที
เขาเงยหน้ายิ้มมองเด็กน้อย ‘คิ้วตาสลักเสลา เฉลียวฉลาดสง่างาม นับจากนี้เรียกเจ้าว่าซิ่วเอ๋อร์**** ก็แล้วกัน’
ซิ่วเอ๋อร์…
องค์ชายสามตื่นเต้นยินดียิ่ง เขารีบจับพู่กัน เขียนอักษรซิ่วลงไปบนกระดาษขาว
‘ซิ่ว หมายถึงความสง่าและความงามพร้อม หวังว่าเจ้าจะไม่ละทิ้งชื่อนี้’ องค์ชายสามยิ้มบาง แววตาอ่อนโยนยิ่ง
‘ขอรับ’ เด็กน้อยตื้นตัน เบิกบานจนตัวแทบจะลอยได้ เขาหันไปมองตัวอักษรซิ่วที่องค์ชายสามเป็นผู้เขียน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย รีบเอ่ยว่า ‘ขอบคุณนายท่าน’
สง่าและงามพร้อม นายท่านมอบชื่อที่ดีถึงเพียงนี้ให้เขา เขาจะไม่มีวันละทิ้งชื่อนี้อย่างแน่นอน
หลายวันหลังจากนั้น เขาติดตามองค์ชายสามกลับจิงเฉิง องค์ชายสามบอกกับพ่อบ้านผู้ดูแลวังว่าเขาเป็นเด็กรับใช้ที่ชินอ๋องแห่งมองโกลมอบให้ ต้องดูแลอย่างเอาใจใส่ ทำให้เมื่อแรกเข้ามาอาศัยอยู่ในวังขององค์ชายสาม เด็กน้อยก็มีฐานะสูงกว่าบ่าวรับใช้คนอื่นๆ เล็กน้อย ไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับเขาอย่างรังเกียจ ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ตัวเขาก่อนหน้านี้ไม่เคยกล้าคิดหวัง
เด็กน้อยยังค้นพบว่าบ่าวรับใช้ที่ฐานะค่อนข้างสูงในวัง ชื่อของแต่ละคนจะนำหน้าด้วยอักษร ‘หรู’ อย่างเช่นบ่าวรับใช้คนสนิทขององค์ชายสามทั้งสี่คน ตั้งชื่อตามสี่ฤดู เรียกว่าหรูชุน หรูซย่า หรูชิว หรูตง* คนที่ติดตามไปมองโกลและคอยรักษาแผลให้เขามาตลอดทางก็คือหรูซย่า
ส่วนเขา องค์ชายสามบอกกับทุกคนว่าเขาชื่อหรูซิ่ว
แต่น่าเสียดายที่เขาอายุยังน้อย ทั้งยังไม่เคยผ่านการอบรมสั่งสอนมาก่อน จึงไม่อาจรับใช้อยู่ข้างกายองค์ชายสาม ต่อมาเขาได้ยินว่าบ่าวรับใช้ข้างกายขององค์ชายสามล้วนผ่านการอบรมอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุเต็มสิบขวบ พ่อบ้านจะคัดเลือกผู้ที่มีรูปลักษณ์และความสามารถอันดับต้นๆ ขึ้นมาทำหน้าที่ แม้เขาจะเป็นบ่าวรับใช้ที่ชินอ๋องแห่งมองโกลมอบให้ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น
เพื่อให้ตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอให้ถูกเลือก เขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ เรียนรู้งานในวังขององค์ชายสาม เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มีโอกาสรับใช้…
“ซิ่วเอ๋อร์”
เสียงเรียกสนิทสนมดึงเขากลับมาจากความทรงจำในวันวาน
“สวมเสื้อผ้าบางเช่นนี้ ระวังจะจับไข้”
ใครคนหนึ่งสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง ร่างกายที่เดิมเย็นเฉียบพลันอบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับไปมององค์ชายสาม ยิ้มพลางพูด “คิดว่าท่านหลับไปแล้วเสียอีก เหตุใดจึงมาที่ห้องหนังสือได้”
“เจ้าไม่อยู่ในห้อง ข้าจึงคิดว่าเจ้าคงอยู่ไม่สุขอีกแล้ว” องค์ชายสามโอบเอวของเขา ก่อนจะลูบไล้ลงไปที่สะโพก
“ตอนนี้ผู้ใดกันแน่ที่อยู่ไม่สุข” หรูซิ่วยิ้ม พูดจบก็พลันรู้สึกว่าตัวเองถูกหยิกไปหนึ่งที
ตอนเย็นเหตุการณ์ที่คนทั้งสองโอบกอดกันทำให้กำแพงที่เคยขวางกั้นระหว่างทั้งคู่ถูกทำลายลงในที่สุด เมื่อองค์ชายสามเห็นว่าหรูซิ่วไม่มีท่าทีเย็นชาทั้งไม่ทำปั้นปึ่งใส่ ในใจก็ยินดียิ่งนัก ดึกดื่นค่อนคืนจึงมุ่งไปหาหรูซิ่วที่ห้องแต่กลับไม่เห็นคน จึงรีบมาตามหาที่ห้องหนังสือ และก็เป็นไปตามคาด เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเงาร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่อยู่ในใจของเขาผู้นั้น
“ซิ่วเอ๋อร์” เห็นคิ้วตาของอีกฝ่ายผ่อนคลาย องค์ชายสามก็เบิกบานนัก ยิ่งไม่อยากปล่อยคนในอ้อมแขนไปไหน เขาเหลือบไปเห็นกองกระดาษบนโต๊ะซึ่งมีรายชื่อขุนนางเขียนเรียงตามฝ่ายต่างๆ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายทุ่มเทแรงใจทำทุกอย่างเพื่อเขาก็ยิ่งปวดใจ “ดึกดื่นเช่นนี้เจ้ามัวทำอะไรอยู่!”
หรูซิ่วผลักเขาออกเบาๆ ทว่ายังคงตามใจ คว้าเสื้อนอกขึ้นมาสวม “ฝ่าบาททรงกำจัดคนจากฝ่ายสั่วเอ๋อถูออกไปได้หลายคน แม้จะบอกว่าเป็นขุนนางขั้นห้าลงไป แต่ก็ส่งผลกระทบไม่น้อย นอกจากนี้ยังทรงมอบหมายให้จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อเป็นผู้จัดการ จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อมีสัมพันธ์อันดีกับวังซู่ชินอ๋อง ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายเมื่อคราวก่อนเป้ยเล่อองค์โตแห่งวังซู่ชินอ๋องก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับองค์ชายแปด ไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นไปในทิศทางใด”
“ขุนนางที่ถูกฝ่าบาททรงกำจัดไปคราวนี้ล้วนแต่เป็นคนไม่มีผลงาน อีกทั้งพระองค์เสด็จไปคาหล่าชิ่นครานี้ยังทรงให้องค์รัชทายาทติดตามไปด้วย เห็นทีคงจะยังโปรดองค์รัชทายาทอยู่ไม่น้อย” องค์ชายสามดึงตัวเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้กว้างหน้าโต๊ะหนังสือ
“บางทีผู้ที่ฝ่าบาททรงคิดตัดกำลังก็คือสั่วเอ๋อถู ไม่ใช่องค์รัชทายาท” หรูซิ่วหยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก ก่อนจะขีดฆ่ารายชื่อขุนนางทีละชื่อ จากนั้นจึงเปลี่ยนพู่กัน เขียนคำว่า ‘จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อแห่งวังกงชินอ๋อง’ ลงตรงที่ว่าง
“หรืออาจแค่ทรงตักเตือนสั่วเอ๋อถู” องค์ชายสามจุดเทียนเพิ่มให้เขาอีกสองเล่ม ก่อนจะก้มลงมองตัวอักษร ลายพู่กันหนักแน่นพลิ้วไหว ทั้งยังแฝงความมั่นใจคล่องแคล่วอยู่ในที จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ “ลายมือของเจ้า เมื่อก่อนดูแล้วก็คล้ายของข้า แต่ระยะนี้ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าไม่เหมือน”
หรูซิ่ววางพู่กันลงพลางถอนใจ “หลายปีก่อนท่านสั่งไม่ให้ข้าลอกเลียนลายมือท่าน มาตอนนี้กลับถอนใจบอกว่าลายมือข้าไม่เหมือนท่าน องค์ชายสามช่างปรนนิบัติยากเสียจริง ดูท่าหลังจากนี้ข้าคงไม่ต่างจากยืนบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ”
“ยื่นมือขวามา” องค์ชายสามพลันเอ่ยขึ้น หรูซิ่วไม่เข้าใจแต่ก็ยังยื่นมือออกไป องค์ชายสามสีหน้าเรียบกระด้าง เมื่อหรูซิ่วแบมือออก เสียง ‘เพียะ’ ก็ดังขึ้น ที่แท้องค์ชายสามก็ตีมือเขาไปหนึ่งที ไม่หนักไม่เบา
“พี่สาม?” เขานิ่งงันไม่เข้าใจ
“เมื่อก่อนตอนเป็นอาจารย์ให้เจ้า น่าจะสั่งสอนให้เข้มงวดกว่านี้” องค์ชายสามจงใจแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้วตำหนิ “หลายปีมานี้ทำเจ้าเสียนิสัย ไม่มีสัมมาคารวะ กล้าล้อเลียนผู้เป็นอาจารย์เชียวหรือ”
หรูซิ่วดึงมือกลับพลางแย้ง “อาจารย์กล่าวผิดแล้ว ความผิดของศิษย์มิใช่ไม่มีสัมมาคารวะ”
“ยังจะกล้าเถียงอีกหรือ!” สีหน้าองค์ชายสามยังคงบูดบึ้ง แต่ก็ซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นเจ้าผิดเรื่องใดกันแน่ สารภาพออกมาตามตรง มิเช่นนั้นจะถูกตี”
“ขอข้าคิดก่อน ความผิดของศิษย์ก็คือ…ถูกตามใจจนเหลิงกระมัง” แววตาของหรูซิ่วเต็มไปด้วยความขบขัน
องค์ชายสามได้ยินที่เขาพูดเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจ สีหน้าฉลาดเฉลียวแบบนี้เป็นสิ่งที่ตนรักใคร่มาโดยตลอด จึงอดใจไม่ไหว ดึงคนเข้ามากอดแน่น ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูของเขา พูดเสียงเบา “เจ้าลูกศิษย์ดื้อด้านคนนี้นี่ เมื่อรู้ว่าข้าตามใจ เจ้าก็อย่าทำให้ผู้เป็นอาจารย์ยุ่งยาก ต่อจากนี้ห้ามแง่งอนอีกได้หรือไม่ คราวนี้เจ้าโกรธนานนัก ทำร้ายถึงร่างกายจะไม่ทำให้อาจารย์ปวดใจได้อย่างไร”
สีหน้าของหรูซิ่วผ่อนคลายลง แต่ไหนแต่ไรองค์ชายสามเยือกเย็นหนักแน่น น้อยครั้งที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยคำพูดสนิทสนมเช่นนี้อย่างเปิดเผย ชั่วขณะนั้นเขาตื้นตันใจจนอดซบกายอิงอ้อมอกไม่ได้ สัมผัสถึงหัวใจที่เต้นอย่างมั่นคงของอีกฝ่าย
“หากฝ่าบาททรงคิดจะสนับสนุนองค์รัชทายาท แต่ขณะเดียวกันก็มีพระประสงค์จะตัดกำลังสั่วเอ๋อถู เช่นนั้นก่อนที่จะเสด็จกลับจิงเฉิงจะต้องมีการเคลื่อนไหวอีกแน่” เนิ่นนานหรูซิ่วถึงทำลายความเงียบ วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
“หากเป็นเช่นนั้น จะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับขุนนางที่ลำดับขั้นสูงกว่านี้เป็นแน่” เมื่อองค์ชายสามพูดขึ้น คนทั้งสองก็พลันนึกถึงหลี่กั๋วจู้ สีหน้าของหรูซิ่วเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง องค์ชายสามนึกโกรธตัวเองว่าไม่ควรเอ่ยถึงคนผู้นี้ขึ้นมาเลย จึงรีบจุมพิตต้นคอของหรูซิ่ว สองมือเริ่มเคลื่อนไหว
หรูซิ่วถูกองค์ชายสามก่อกวนจนไม่มีสมาธิคิดเรื่องอื่นอีก เขาอดไม่อยู่หันหน้าไปจุมพิต
ถูกคนรักเป็นฝ่ายเริ่มจูบก่อน องค์ชายสามแววตาพลันสว่างวาบ สองมือตวัดร่างเขาเข้ามากอด ร่างกายของคนทั้งสองเมื่อเทียบกันแล้ว องค์ชายสามสูงใหญ่กำยำกว่ามาก ช่วงบ่ากว้างกว่าเล็กน้อย ท่อนแขนก็มีพละกำลังมากกว่า ด้วยเหตุนี้หรูซิ่วที่แม้จะตัวสูงเช่นเดียวกันจึงถูกกดไว้ใต้ร่างอย่างง่ายดาย
“พี่สาม…” เขารู้สึกถึงมือของอีกฝ่ายที่สอดเข้ามาใต้เสื้อผ้า จึงครางเสียงเบาอย่างห้ามไม่อยู่ ระหว่างเรียวขาถูกสัมผัสอย่างอ่อนโยน ทำให้สองแก้มของเขาแดงเรื่อ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปัดป้อง องค์ชายสามก็คว้ามือเขาให้สอดเข้ามาในเสื้อของตน เมื่อรู้สึกถึงปลายนิ้วเย็นเฉียบที่ลากผ่านจุดอ่อนไหว องค์ชายสามก็ร้อนวูบไปทั้งอก ประคองท้ายทอยของหรูซิ่ว กดจูบลึกล้ำ
ความปรารถนาที่เก็บกดเอาไว้ทั้งวันพลันถาโถมออกมาทั้งหมดกลางห้องหนังสือในคืนนี้
ทันใดนั้นองค์ชายสามก็ดึงหรูซิ่วให้เดินไปยังห้องปีกที่อยู่หลังชั้นหนังสือ ประตูเพิ่งปิดลงเขาก็ดันร่างคนในอ้อมกอดลงบนเตียง ส่วนตนรีบตามประกบ เอียงหัวขบกัดใบหูของหรูซิ่วเบาๆ กระซิบเสียงหวาน “ครั้งแรกของพวกเราก็เป็นที่นี่”
หรูซิ่วขานรับเสียงหนึ่ง จัดการถอดชุดขององค์ชายสามออก คนทั้งสองสบตากันในความมืดก่อนจะจุมพิตดูดดื่มอีกครั้ง ริมฝีปากแนบชิด ลิ้นเกี่ยวกระหวัด ไม่นานริมฝีปากก็ผลัดเปลี่ยนลากไล้ไปยังเรียวขาของอีกฝ่าย ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงหัวใจเต้น
องค์ชายสามพลิกร่างคนที่อยู่บนเตียง ทั้งสองกอดกันแนบแน่น คนหนึ่งคว้ายึดหัวเตียงเอาไว้ อีกคนกอดเกี่ยวไม่ยอมปล่อย เสียงครางดังขึ้นระลอกหนึ่ง การรุกรานสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เกิดเสียงกระทบไม่ขาดสาย
ไม่นานเสียงครางก็เปลี่ยนเป็นเสียงหอบหายใจเบาหวิวราวกับเสียงแมว สลับกับเสียงเรียกชื่อคนรัก ทว่ายังไม่ทันเปล่งออกมาจนจบ แผ่นหลังของฝ่ายหนึ่งก็หยัดโค้ง ใบหน้าฝังลงบนฟูก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เร่งอารมณ์รักจนเต็มเปี่ยม ความร้อนปะทุอย่างรุนแรง ชั่วขณะเดียวกันคนทั้งสองพลันแนบชิดสนิทแน่น ปล่อยจิตใจให้ล่องลอย เปล่งเสียงครางออกมาพร้อมกัน…
โปรดติดตามตอนต่อไป…
* อักษรข่ายซู เป็นรูปแบบตัวอักษรที่เน้นความพลิ้วไหวของลายเส้น จนถูกเรียกว่าเป็นตัวอักษรต้นแบบ ถือกำเนิดในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น ก่อนจะเข้าสู่ยุคทองในช่วงราชวงศ์ถัง ตัวอักษรข่ายซูเป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน
** ย่วนฉิง เป็นกลอนห้าพยางค์สี่วรรคที่หลี่ไป๋แต่งขึ้นเพื่อบรรยายถึงอารมณ์ตัดพ้อ ขมขื่นของสตรีที่นั่งรอคนรักอยู่เพียงลำพัง
*** หลี่ไป๋ (คริสต์ศักราช 701 – คริสต์ศักราช 762) นักกวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถัง ถูกยกย่องให้เป็นยอดกวีร่วมกับตู้ฝู่
**** ซิ่ว(秀) เป็นคำที่แปลได้หลายความหมาย มักจะบรรยายถึงสิ่งที่พลิ้วไหวสวยงาม คำว่าน่าเอ็นดู (清秀) ละเมียดละไม (秀气) นุ่มนวล (秀逸) ประณีต (秀致) ที่องค์ชายสามใช้ล้วนเป็นคำที่ประกอบด้วยด้วยตัวอักษรซิ่ว