overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย
เพียงแรกเห็น จิตใจก็เตลิด
ในห้องหนังสืออันเรียบหรู เด็กหนุ่มท่าทางน่าเอ็นดูผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ดวงหน้าขาวสะอาดแววตามาดมั่น ทั่วร่างส่งกลิ่นอายของผู้รู้หนังสือ เขากำลังจับพู่กันคัดอักษรอย่างตั้งใจ ข้อมือขยับไปมา เขียนตัวอักษรอย่างคล่องแคล่ว ลายมือพลิ้วไหวขับเน้นความเรียบง่ายสง่างามของเขา ท่าทีเช่นนี้ราวกับคุณชายสูงศักดิ์จากตระกูลบัณฑิต
เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือหรูซิ่วที่อายุย่างสิบเจ็ดปี
สองปีที่ผ่านมา ภายใต้การสอนสั่งอย่างเข้มงวดขององค์ชายสาม ไม่ว่าบุ๋นหรือบู๊ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ระยะนี้จึงเริ่มช่วยองค์ชายสามจัดการงานราชการต่างๆ รวมไปถึงตอบจดหมายที่ไม่สลักสำคัญนัก บางครั้งยังติดตามองค์ชายสามไปร่วมงานชุมนุมต่างๆ ถือเป็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือควบตำแหน่งองครักษ์
แต่ใช่ว่าจะได้ตามออกไปข้างนอกทุกครั้ง อย่างเช่นเดือนนี้องค์ชายสามตามเสด็จฮ่องเต้ไปมองโกล เขาก็ไม่ได้พาหรูซิ่วไปด้วย
‘เจ้าต้องตั้งใจอ่านหนังสือ วรยุทธ์ก็ต้องฝึกฝนอย่าได้เกียจคร้าน’
ตอนที่องค์ชายสามกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวออกเดินทาง พอเหลือบมาเห็นหรูซิ่วซึ่งกำลังช่วยเก็บสัมภาระก็เอ่ยกำชับสองประโยคง่ายๆ
หรูซิ่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจอดรู้สึกวูบโหวงไม่ได้
ทุกครั้งที่องค์ชายสามเดินทางไปมองโกลจะต้องพาหรูซย่าไปด้วย คราวนี้ก็เช่นกัน เหตุเพราะหรูซย่าซึ่งเพิ่งได้เลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้าองครักษ์มีวรยุทธ์ดีที่สุด ทั้งยังเป็นวิชาแพทย์
ดังนั้นระยะนี้หรูซิ่วจึงเริ่มหาตำราแพทย์มาศึกษา ส่วนด้านวรยุทธ์ หลังฝึกฝนอย่างหนักมาสองปี แม้วิชาหมัดจะยังสู้หรูซย่าไม่ได้ แต่วิชาดาบกับธนูก็อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว เมื่อถึงเวลาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติพอจะได้ติดตามองค์ชายสามไปมองโกล เขาจึงหวังว่าบางทีนอกจากหรูซย่า องค์ชายสามจะใคร่ครวญให้เขาติดตามไปด้วย
ในลานหน้าเรือนแว่วเสียงฝีเท้าเร่งร้อน หรูซิ่ววางพู่กันลง ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องหนังสือ เมื่อยื่นหน้าออกไปดูก็เห็นบ่าวรับใช้สามคนยื้อยุดกันไปมาพลางหัวเราะ กระโดดโลดเต้นจะไปที่เรือนด้านหลังอย่างเบิกบาน
ดูท่าว่าพอองค์ชายสามไม่อยู่ บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ก็ต่างสุขสันต์นัก มีเพียงเขาที่จิตใจหดหู่ ไม่แจ่มใส
‘พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่’ เขาถาม
หนึ่งในนั้นค่อนข้างสนิทสนมกับหรูซิ่ว จึงรีบกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา ‘มีเรื่องสนุก รีบตามมาสิ’
อีกสองคนพอเห็นเขา สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะหรูจงที่เคยโดนหรูซิ่วข่มขู่มาก่อนยิ่งไม่อยากให้เขาตามไปด้วย แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้หรูซิ่วก็ยิ่งอยากรู้
เขาตามคนทั้งสามไปคลังเก็บของที่เรือนหลัง คนเดินนำหน้าส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงพลางเบาฝีเท้า บ้างก็ขึ้นไปยืนบนกองฟืน บ้างก็ปีนบันไดเล็ก ทุกคนต่างหาที่สูง หรูซิ่วเองก็ขึ้นไปเบียดบนบันไดยาว ยังไม่ทันยืนให้มั่นก็ได้ยินเสียงครางกับเสียงหอบหายใจประหลาด เขามองตามสายตาของทุกคนไปก็ได้เห็นภาพอันทำให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นในหัว
ในคลังเก็บของมีร่างหนึ่งหญิงหนึ่งชาย ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กำลังกระหวัดรัดรึงอย่างเร่าร้อน
หรูซิ่วเบิกตาโพลง จับจ้องภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ชายหญิงในคลังเก็บของไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าด้านนอกมีกลุ่มคนซุ่มดูอยู่ เสียงหอบหายใจดังขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายชายกระชากกางเกงตัวในออก ก่อนจะดันเรียวขาของฝ่ายหญิงขึ้นมาชิดหัวไหล่ ผสานร่างแนบแน่น
คนที่มาแอบดูซึ่งล้วนอยู่ในวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีต่างออกอาการสนอกสนใจอย่างยิ่ง บางคนหนีบต้นขา บางคนกัดหลังมือตัวเองแน่น บางคนถึงขั้นอ้าปากค้างก็มี
หรูซิ่วที่แต่ไหนแต่ไรก็มีนิสัยเยือกเย็น ยามนี้ยังพลอยหัวใจเต้นแรง หน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผาก เขาพลันนึกถึง ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ที่เคยค้นเจอจากหีบในห้องหนังสือเมื่อไม่นานมานี้ ที่แท้จินตนาการก็ไม่อาจปลุกเร้าได้เท่ากับเห็นด้วยตาตัวเอง
คู่รักเสพสม คงเป็นเช่นนี้กระมัง…
เสียงประสานเร่าร้อนในคลังเก็บของยิ่งมายิ่งถี่กระชั้น ยิ่งสอดประสานยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจเด็กหนุ่มสั่นระรัวราวกับถูกใครต่อยเข้าที่หน้าอกอย่างจัง ไม่นานสตรีผู้นั้นก็หวีดเสียงสูง เขาฟังจนในหัวอื้ออึงมึนงงไปหมด รอจนเสียงร้องนั้นเบาลง
คาดไม่ถึงว่าหลังผ่อนคลายลงแล้ว สตรีผู้นั้นจะเลื่อนสายตาขึ้นมอง นางเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพด้านนอกช่องหน้าต่าง ก่อนจะกรีดร้อง หน้าซีดเผือด
‘รีบหนีเร็ว!’
ครั้นเห็นว่าถูกจับได้ ทุกคนก็พร้อมใจแยกย้ายหายไปคนละทิศ หนึ่งในนั้นที่ปีนขึ้นไปสูงกว่าเพื่อนก้าวพลาดหล่นลงมา เหลือเพียงมือข้างเดียวยึดจับบันไดเอาไว้ได้ ใกล้จะตกอยู่รอมร่อ หรูซิ่วที่เดิมวิ่งออกไปไกลแล้ว พอได้ยินเสียงร้องก็หันกลับไปมอง แล้วเข้าไปช่วยประคองอีกฝ่ายไว้ได้ทันท่วงทีพร้อมกับดึงให้เขาวิ่งหนีไปด้วยกัน
เด็กหนุ่มสี่คนวิ่งตะบึงราวกับหนีเอาชีวิตรอด เมื่อมาถึงเรือนขององค์ชายสามจึงหยุดพัก เสียงหอบหายใจดังเคล้าเสียงหัวเราะ
‘ที่แท้เจ้าเองก็มีคุณธรรมน้ำมิตร น่าชื่นชม’ คนที่ถูกช่วยเอาไว้ชี้ไปที่หรูซิ่ว ต่อยหมัดใส่หัวไหล่เขาเบาๆ
‘สองคนเมื่อครู่เป็นใครหรือ’ หรูซิ่วถาม
‘แม่ครัวกับคนส่งผักน่ะ คนหนึ่งเป็นแม่ม่ายอีกคนก็เป็นพ่อม่าย ส่งสายตาให้กันไปมานานแล้ว เมื่อเดือนก่อนถึงค่อยลักลอบเจอกันที่คลังเก็บของ ไอหยา น่าเสียดายที่ถูกนางเห็นเข้า หลังจากนี้คงไม่มีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้ว…’
หรูซิ่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทุกคนสนุกสนานเฮฮากันอยู่ครู่หนึ่งถึงแยกย้าย
หรูซิ่วกลับไปเขียนบทความต่อที่ห้องหนังสือ ทว่ากลับทำได้ไม่ดีนัก ในหัวมีแต่ภาพชายหญิงร่วมรักที่เห็นมาเมื่อครู่ สีหน้าของสตรีนางนั้นดูราวกับสุขสมยิ่ง เมื่อได้อยู่กับคนที่ตนรักคงเป็นเช่นนั้นกระมัง ได้กอดเกี่ยวเรือนร่างของคนรัก เปล่งเสียงครางที่ราวกับทั้งสุขสันต์ทั้งขัดเคือง…
เฮ้อ…ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว!
เด็กหนุ่มวางพู่กันลง นั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงลุกเดินเข้าไปในคลังเก็บหนังสือ หยิบ ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ที่เก็บอยู่ในหีบเล่มนั้นออกมาอ่าน ได้ยินว่าสิ่งนี้เป็นของที่องค์ชายบางพระองค์แอบมอบให้องค์ชายสามเมื่ออายุครบสิบแปดปี
องค์ชายสาม…จะไล่อ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดเหมือนกับเขาในตอนนี้หรือไม่ จะยิ่งอ่านก็ยิ่งครั่นเนื้อครั่นตัว ริมฝีปากแห้งผาก ร้อนรุ่มไปทั้งกายเหมือนกับเขาในตอนนี้หรือไม่
ก่อนหน้านี้องค์ชายสามได้แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร เช่นนั้นคงเป็นเหมือนคู่ชายหญิงเมื่อครู่ ปฏิบัติตามธรรมเนียมของโจวกง*…
เขาพลันนึกขึ้นได้ บางครั้งยามที่บ่าวรับใช้คนสนิทขององค์ชายสามขอลางาน ก็มักให้เขาเข้าไปปรนนิบัติองค์ชายสามอาบน้ำแทน ยามนั้นเขาย่อมได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าขององค์ชายสามเป็นธรรมดา ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็เคารพรักและเทิดทูนอีกฝ่ายเสมอ จึงไม่เคยทำสายตาว่อกแว่ก ยิ่งไม่เคยแอบคิดฟุ้งซ่าน
แต่เวลานี้ในหัวเขากลับปรากฏภาพองค์ชายสามที่ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมด เรือนกายของนายท่าน ร่างกายท่อนล่างของนายท่าน…
ทันใดนั้นตัวอักษรหลายตัวบน ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ ก็แล่นเข้ามาในหัวสมอง
‘ดวงหน้านุ่มนวลสลักเสลาดุจหยก…สง่างามน่าเกรงขาม…แท่งหยกผงกขึ้นราวกับโกรธเกรี้ยว…ขยับขึ้นลง ปัดป่ายซ้ายขวา มุ่งตรงสู่ตะวันยอดขุนเขา…’
ดวงหน้าขาวกระจ่างของหรูซิ่วแดงก่ำ เขาปล่อยกายปล่อยใจกับภาพขององค์ชายสามยามอาบน้ำชำระกายอย่างไม่อาจยับยั้ง หัวใจเต้นระรัว ทว่าความรู้สึกผิดพลันทะลักล้น เขาปิด ‘บันทึกกามาผสานฟ้าดิน’ อย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ‘พั่บ’ แล้วยัดมันกลับลงในหีบแบบส่งๆ
หรูซิ่วประณามตัวเองอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งจิตใจที่ฟุ้งซ่านได้
นึกย้อนดูแล้ว คงจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้นกระมังที่เขาบังเกิดความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยต่ออีกฝ่าย
หลังจากนั้นเดือนกว่า องค์ชายสามเดินทางกลับมา พอได้เห็นร่างนั้นก้าวเท้าเข้าลานเรือนมาอย่างผ่าเผย อบอุ่นดุจลมวสันต์ สว่างไสวดุจดวงดารา หรูซิ่วทั้งรู้สึกยินดีทั้งละอายสลับผลัดเปลี่ยนไปมา ก่อนจะตัดสินใจเก็บความรู้สึกซับซ้อนไม่ชัดเจนของตัวเองไว้สูงสุดเทียมก้อนเมฆบนท้องฟ้า
และก็เป็นปีนั้นเองที่สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับองค์ชายสามยุ่งเหยิงสลับซับซ้อนชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
* ธรรมเนียมของโจวกง หมายถึงเรื่องในห้องหอของสามีภรรยา ในช่วงต้นราชวงศ์โจวตะวันตก ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวในสมัยนั้นเป็นไปอย่างไร้ระเบียบแบบแผน โจวกงจึงกำหนดขั้นตอนการผูกสัมพันธ์ของหนุ่มสาวเอาไว้ 7 ขั้นตอน ได้แก่ สู่ขอ ถามชื่อและเวลาตกฟาก มอบของหมั้น ยกขบวนสินสอด กำหนดฤกษ์แต่ง เข้าพิธีวิวาห์ และสุดท้ายจึงเป็นการเข้าห้องหอ