overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย
มรสุมพลันสาดซัด เด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด
ราตรีล่วงผ่านไปโดยไม่อาจข่มตาหลับ
วันถัดมาฟ้าเพิ่งจะสาง หรูซิ่วก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ วานเด็กรับใช้คนอื่นให้ช่วยลางานให้ โดยบอกว่าตนต้องลมเย็นจนไม่สบาย
เขา…ไม่รู้ว่าควรจะสู้หน้าองค์ชายสามอย่างไร ในหัวยังมีแต่ภาพคนทั้งสองจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม
เขาเพียงต้องอดทนหลบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่านั้น เพราะพรุ่งนี้องค์ชายสามซึ่งเป็นผู้ดูแลพิธีบวงสรวงสวรรค์ต้องมุ่งหน้าไปตำหนักไจกงตั้งแต่รุ่งสาง ปรนนิบัติฮ่องเต้ให้ทรงถือศีลกินเจเป็นเวลาสามวัน
สามวันหลังจากนั้นเขาคงหายรู้สึกเก้อกระดากแล้วกระมัง ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นองค์ชายสามอาจจะลืมไปหมดแล้วก็เป็นได้ ลืมว่าเด็กรับใช้ในห้องหนังสือไม่รู้ดีชั่วคนนี้เคยเห็นตนกำลังพลอดรักกับผู้อื่นอย่างเร่าร้อน…
เฮ้อ…ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น นายท่านความจำดียิ่งกว่าอะไรเสียอีก!
หรูซิ่วพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง จิตใจว้าวุ่นไปหมด เมื่อคืนเขาไม่น่าวุ่นวายเลย จะเอาแท่งหมึกไปคืนกลางดึกเพื่ออะไร! ทำให้ต้องเห็นเรื่องอันน่าตระหนกขององค์ชายสาม ดวงตาที่หลับพริ้มยามที่กอดจูบกันนั่น…
เด็กหนุ่มกึ่งนอนกึ่งคุกเข่าถอนใจอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็มุดเข้าไปในผ้าห่มจนมิดหัว เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญอยู่ข้างใน คิดไปคิดมาลึกๆ ในใจเขาก็ยังรู้สึกกระดากอยู่ดี สองเท้าเด็กหนุ่มเตะสะบัด สองหมัดปัดป่าย พลิกคว่ำพลิกหงายอยู่บนเตียง สุดท้ายก็ทนไม่ไหว คว้ามุมผ้าห่มขึ้นมากัดทึ้งอย่างแรง สะบัดซ้ายขวาอยู่หลายทีราวกับผ้าห่มผืนนี้เป็นคู่แค้นมาแต่ชาติปางก่อน
หลังระบายอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจิตใจของเขายังคงไม่สงบ ราวกับลูกสิงโตออกมาเล่นซุกซนในฤดูใบไม้ผลิ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะกระวนกระวายมาทั้งคืน หัวจึงรู้สึกหนักอึ้ง ร่างกายผ่อนคลาย ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลง เขาหลับไปราวกับคนสิ้นสติ
พระอาทิตย์ตกดินดวงจันทร์ขึ้นแทนที่ ความมืดปกคลุมไปทุกแห่งหน เด็กหนุ่มหลับสนิทไม่รู้สึกตัว ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูอย่างเร่งร้อนก็ดังขึ้น ก่อนที่เสียงตะโกนจะตามมา
‘ซิ่วเอ๋อร์ รีบออกมาเร็วเข้า! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ซิ่วเอ๋อร์!’
เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ ลืมตาทั้งสองข้าง เสียงของพี่หรูซย่า? เมื่อตื่นตระหนก สติก็พลันแจ่มชัด เขารีบลุกขึ้นมา ตอนที่กำลังกระวีกระวาดใส่รองเท้า ประตูก็ถูกเปิดออก
‘เกิดอะไร…’
‘บทในพิธีบวงสรวงขององค์ชายสามหายไป เจ้าจำได้หรือไม่ว่าวางเอาไว้ที่ใด’ หรูซย่าร้อนใจจนสีหน้าดูไม่ได้
หรูซิ่วตกใจอย่างมาก ‘มิใช่ว่าเก็บไว้ในหีบใต้โต๊ะหนังสือหรอกหรือ’
‘ในหีบว่างเปล่า เจ้าคุ้นเคยกับห้องหนังสือ รีบตามไปช่วยค้นเร็วเข้า!’ หรูซย่าพูดไม่ทันจบก็ลากแขนเด็กหนุ่มวิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ
เมื่อไปถึงก็พบว่าในห้องหนังสือจุดโคมจนสว่างไสว บ่าวรับใช้หลายคนค้นหาทุกซอกมุมอย่างอกสั่นขวัญแขวน ขุนนางหนุ่มจากกรมพิธีการสองคนยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าซีดขาว ส่วนองค์ชายสามนั้น…ครั้นหรูซิ่วมองไปยังองค์ชายสาม หัวใจก็พลันบีบรัด! องค์ชายสามหน้านิ่วคิ้วขมวด ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเคร่งเครียด ท่าทางโกรธขึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หรูซิ่วไม่เคยเห็นองค์ชายสามเป็นเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นก็อดนึกเห็นใจไม่ได้
ปีนี้องค์ชายสามรับผิดชอบดูแลพิธีบวงสรวงเป็นปีแรก ทั้งฮ่องเต้ยังทรงเสนอชื่อด้วยพระองค์เอง เหตุเพราะเมื่อปีก่อนเกิดความผิดพลาดขึ้น ตอนนั้นฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเนื้อความของบทบวงสรวงไม่รัดกุมมากพอ ทั้งตัวบทความเองก็ยังขาดความประณีตระมัดระวัง ทำให้ขุนนางกรมพิธีการหลายคนถูกลงโทษสถานหนัก
ปีนี้ฮ่องเต้จึงทรงกำชับองค์ชายสามเป็นพิเศษว่าให้ดูแลอย่างรอบคอบ แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ก็ทรงโปรดปรานพรสวรรค์ด้านการประพันธ์ขององค์ชายสาม ทั้งยังทรงเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดกับโอรสองค์โปรด ครึ่งเดือนก่อนยังทรงเรียกองค์ชายสามไปเข้าเฝ้าเป็นพิเศษ ฮ่องเต้และขุนนางร่วมหารือเนื้อความบทบวงสรวงในห้องทรงพระอักษร หลายประโยคในนั้นยังเป็นประโยคที่ฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง
วันนั้นองค์ชายสามกลับวังมาด้วยอารมณ์เบิกบานยิ่ง ทั้งยังหยิบเอาบทบวงสรวงขึ้นมาอ่านทวนอย่างละเอียดอยู่หลายต่อหลายครั้ง ท่าทางมีความสุขมาก เขาเคยหลุดปากบอกหรูซิ่วว่าบทบวงสรวงฉบับนี้เขากับฮ่องเต้ร่วมกันร่างขึ้นมา สองวันก่อนงานพิธีจึงค่อยเขียนลงบนกระดานบวงสรวง
เพราะเป็นของสำคัญมาก องค์ชายสามจึงสั่งให้เขาหาหีบไม้แกะสลักมาใบหนึ่งเป็นพิเศษ ก่อนจะเอากระดานบวงสรวงเก็บลงในหีบอย่างระมัดระวัง วางไว้ใต้โต๊ะหนังสือ
จะหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาได้อย่างไร
หรูซิ่วเดินเข้าไปที่หน้าโต๊ะหนังสือก็เห็นหีบไม้ที่ข้างในว่างเปล่า ‘เมื่อวานตอนข้าเข้ามาจัดโต๊ะหนังสือก็ตรวจทานดูแล้วรอบหนึ่ง ตอนนั้นมันยังวางอยู่ในนี้’
องค์ชายสามหันมามองเขา เอ่ยด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น ‘เมื่อครู่ก่อนออกไปของก็ยังอยู่ดี ข้าตรวจดูด้วยตัวเองแล้ว คาดไม่ถึงว่าตอนเปิดดูอีกทีบนรถ ข้างในกลับว่างเปล่า’ โชคดีที่เขานึกสังหรณ์ใจเปิดหีบออกดู ไม่เช่นนั้นหากรอจนถึงพรุ่งนี้ค่อยรู้ตัว ผลลัพธ์ย่อมไม่น่าพิสมัย
หมายความว่าบทบวงสรวงเพิ่งหายไป? หรูซิ่วรีบหันไปตะโกนบอกหรูซย่า ‘รีบส่งคนไปปิดประตูข้างกับประตูเล็กให้หมด! ตรวจวังให้ทั่วว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่!’
องค์ชายสามได้ยินดังนั้น แววตาก็พลันฉายรอยระแวดระวัง ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับหรูซย่า อีกฝ่ายรับคำสั่ง รีบออกไปจัดการทันที
ครั้นขุนนางกรมพิธีการทั้งสองเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าที ก็กระซิบกระซาบปรึกษากัน คนหนึ่งแนะนำให้องค์ชายสามรีบเขียนฉบับใหม่ บางทีหากทุกคนช่วยกันรีดเค้นความจำอาจจะเขียนออกมาได้สมบูรณ์ไม่ขาดตกแม้แต่หนึ่งตัวอักษรก็เป็นได้ องค์ชายสามครุ่นคิดไม่ตอบคำ
หรูซิ่วเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายดี บทบวงสรวงฉบับที่หายไปนั้น ฮ่องเต้ทอดพระเนตรองค์ชายสามเขียนลงไปทุกตัวอักษร วันนี้หากนำฉบับอื่นไปแทน แล้วฮ่องเต้ตรัสถามขึ้นมาจะทำอย่างไร ย่อมไม่อาจยอมรับตรงๆ ว่าทำของสำคัญสูญหายกระมัง
‘นายท่าน กำหนดการเดิมมิใช่ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าหรือขอรับ’ หรูซิ่วสอบถาม ยามนี้เขาลืมเหตุการณ์น่ากระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น ใจคิดแต่จะไขเรื่องราวให้กระจ่าง ตามหาว่าบทบวงสรวงหายไปไหน
‘ตอนค่ำองค์ชายสามเพิ่งตัดสินพระทัยว่าจะเสด็จล่วงหน้าไปเตรียมการที่ตำหนักไจกงก่อน’ ผู้ตอบคือหรูชุน ‘ข้าเป็นคนยกหีบขึ้นไปบนรถม้าเอง แต่ตอนนั้นรับมาจากตงเอ๋อร์อีกที’
ผู้ถูกเรียกชื่อสะดุ้งจนตัวโยน เขารีบคุกเข่าลงร่ำไห้ ‘ข้าก็รับของมาอีกที เป็นจงเอ๋อร์ที่ส่งหีบไม้มาให้ข้า’
สิ้นคำกล่าวนั้น องค์ชายสามกับหรูซิ่วก็โพล่งขึ้นพร้อมกัน ‘จงเอ๋อร์เล่า’
ทันใดนั้นก็แว่วเสียงเอะอะจากด้านนอก หรูซิ่วเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปด้านนอก แล้วก็เห็นหรูซย่าพาองครักษ์หลายนายเข้าปิดล้อมภูเขาจำลองที่อยู่ในลานเรือน
‘มีอะไรหรือ’ หรูซิ่วเอ่ยถาม
‘จงเอ๋อร์ถูกคนทุบหมดสติแล้วถูกนำมาซ่อนอยู่ในช่องภูเขาจำลอง’ องครักษ์นายหนึ่งตอบ
องค์ชายสาม ขุนนาง และบ่าวรับใช้ต่างเดินตามออกมา กลางดึกที่เดิมทีเงียบสงัด ยามนี้กลับวุ่นวาย เริ่มเห็นเค้าพายุก่อตัวได้รางๆ
หรูซย่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาออกแรงเขย่าร่างหรูจง ‘จงเอ๋อร์ รีบตื่นเร็วเข้า บทบวงสรวงอยู่ที่ใด’
หรูซิ่วเข้าไปสังเกตดูใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เขายื่นมือออกไปลูบเบาๆ ก่อนจะพบว่าแผ่นหลังของหรูจงอาบไปด้วยเลือด ขณะที่กำลังตระหนก ด้านนอกภูเขาจำลองก็มีเสียงดังขึ้น
‘มือสังหาร! รีบมาช่วยกันเร็ว!’
หรูซิ่วกับหรูซย่าทะยานร่างตามออกไป แต่กลับเห็นภาพด้านหน้าสับสนอลหม่านไปหมด องครักษ์กับบ่าวรับใช้ในวังหลายคนต่างพากันวิ่งออกจากห้อง ใต้แสงจันทร์กระจ่าง เงาร่างหนึ่งหลุดรอดออกจากวงล้อมขององครักษ์ ก่อนจะหนีขึ้นหลังคาด้วยความรวดเร็วประดุจเลี่ยเป้า* คงเพราะเห็นว่าประตูด้านข้างถูกปิดไว้หมด เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็ได้แต่ไต่หลังคาข้ามกำแพง หนีสุดกำลัง
‘รีบตามไป!’ หรูซย่าฝีมือดีที่สุด เขารีบกระโดดตามขึ้นไปบนหลังคา หรูซิ่วตามหลังไปติดๆ เพียงแต่อีกฝ่ายได้เปรียบตรงที่นำออกไปก่อน ทั้งฝีเท้าก็เร็วรี่ พริบตาก็ใกล้จะหลุดออกจากอาณาเขตกำแพง
‘หรูซย่า หรูซิ่ว หลบไป!’
องค์ชายสามตะโกนสั่งเสียงเครียด ทุกคนหันกลับไปมองก็เห็นเขายืนอยู่บนหินใหญ่ข้างสระน้ำ ในมือถือธนูที่แย่งมาจากองครักษ์ แขนแกร่งน้าวศร สายตาจับจ้องแม่นมั่น ท่วงท่าสง่างามยิ่งกว่าเทพเซียน แววตาของชายหนุ่มสงบนิ่ง เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น ลูกศรพุ่งแหวกอากาศอย่างรวดเร็วประดุจฟ้าแลบ ก่อนจะปักเข้าใส่ร่างของผู้ที่อยู่บนกำแพง ลูกศรพุ่งทะลุต้นขา มือสังหารร้องออกมาก่อนจะล้มลง
หรูซย่ากับหรูซิ่วรีบทะยานเข้าไปกดร่างอีกฝ่ายเอาไว้
‘เจ้าคนสารเลว! ของเล่า’ หรูซย่าคว้าคอเขาอย่างไม่ปรานีพลางคาดคั้น
หรูซิ่วรีบค้นตัวแต่กลับไม่เจอสิ่งใด
ตอนนั้นเององค์ชายสามก็นำองครักษ์วิ่งตามมา ซักถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาแฝงความโกรธเกรี้ยว ‘ผู้ใดสั่งให้เจ้ามา เหตุใดต้องขโมยบทบวงสรวงไปด้วย’
เมื่อศัตรูเห็นองค์ชายสาม แววตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หรูซิ่วเห็นความผิดปกติที่แทบมองไม่ออก ในใจก็ส่งเสียงร้องเตือน เมื่อเห็นมือสังหารขบฟันหมายจะกัดลิ้นให้ขาด เขาจึงรีบดึงหนวดของอีกฝ่ายอย่างแรง ก่อนจะหาของบางอย่างยัดเข้าไปในปาก ป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย
‘ยังมีอีกคน! บนหลังคา!’
ทุกคนตกใจจนนิ่งงัน เพราะแต่ไหนแต่ไรมาวังขององค์ชายสามก็สงบเงียบไร้เรื่องราว เหล่าองครักษ์ล้วนผ่านคืนวันไปอย่างเงียบสงบ งานที่ทำยามปกติอย่างมากก็แค่เดินลาดตระเวนเท่านั้น ไม่เคยได้ประมือสู้รบกับศัตรูที่ไหน ชั่วขณะนั้นจึงตอบสนองไม่ทัน ยิ่งไปกว่านี้เมื่อครู่ก็เพิ่งเกิดเหตุวุ่นวายไปหมาดๆ มือสังหารปรากฏตัวออกมาคนหนึ่งก็น่าตื่นตระหนกพอแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าพบเพิ่มอีกคนหนึ่ง
‘ของต้องอยู่ที่มันแน่!’ หรูซิ่วตะโกน ชี้นิ้วไปยังมือสังหารที่อยู่บนหลังคา
พอได้ยินดังนั้นทุกคนก็รีบวิ่งตามไป องค์ชายสามนำอยู่ด้านหน้าสุด หรูซิ่วเห็นมือสังหารชะงักฝีเท้าพลางหันมามองกลุ่มคนที่ไล่ตามมา ในใจก็รู้สึกไม่เข้าที เป็นไปตามคาด มือสังหารมองเป้าหมาย มือขวายกขึ้น มีดบินเล่มหนึ่งถูกซัดออกมาราวกับสายฟ้า พุ่งเข้าใส่องค์ชายสามที่นำอยู่ด้านหน้า
‘นายท่านระวัง!’
หรูซิ่วกระโดดเข้าไปบังอยู่ข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะคิด เสียง ‘ฉึก’ ดังขึ้น มีดบินปักเข้าที่สีข้างของเขา พริบตาเลือดสดๆ ก็ไหลอาบย้อมชุดที่สวมจนแดงฉาน ความเจ็บปวดแผ่กระจายจากบริเวณเอวอย่างช้าๆ
‘ซิ่วเอ๋อร์’
องค์ชายสามร้องลั่น
หรูซิ่วไม่แม้แต่จะห่วงตัวเอง เด็กหนุ่มจับจ้องมือสังหารบนหลังคาที่ถูกหรูซย่ากับองครักษ์ล้อมเอาไว้อย่างร้อนใจ วรยุทธ์ของศัตรูไม่อาจเทียบกับหรูซย่า ครั้นเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็ล้วงของจากในอกเสื้อโยนออกมาตรงๆ ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่หรูซย่ากับคนอื่นๆ ช่วยกันเข้ามารับของหนีหายไปราวกับกลุ่มควัน
‘เจอบทบวงสรวงแล้ว!’ หรูซย่าเปิดห่อของออกดูก็พบว่าเป็นบทบวงสรวงที่หายไป จึงร้องบอกเสียงดัง
‘ดีจริงๆ นายท่านรีบนำไปที่ตำหนักไจกงเถิดขอรับ’ หรูซิ่วกุมแผลที่สีข้าง หันไปเอ่ยกับองค์ชายสามด้วยความยินดี
ซิ่วเอ๋อร์…เมื่อเห็นริมฝีปากซีดขาวของเด็กหนุ่ม แววตาขององค์ชายสามก็วูบไหว แม้เลือดจะไหลออกมาจากร่องนิ้ว แต่เจ้าตัวก็ยังยิ้มออก เพียงเพราะว่าหาบทบวงสรวงเจอแล้วเท่านั้นเอง ชั่วขณะนั้นองค์ชายสามพลันเกิดความรู้สึกอันยากจะบรรยาย
‘ไฉนเลือดจึงออกมากเช่นนี้!’ หรูซย่าร้องตระหนก ทำท่าจะเข้ามาดูแผลให้เขา
‘ระวังอย่าทำให้บทบวงสรวงสกปรก ข้าไม่เป็นไร…’
พูดไม่ทันขาดคำ ร่างกายก็พลันอ่อนระทวย องค์ชายสามเห็นเช่นนั้นก็ก้าวเข้าไป ใช้มือหนึ่งคว้าร่างเด็กหนุ่มเข้ามากอดแนบอก แล้วอุ้มขึ้นมา
แม้หรูซิ่วจะสิ้นสติ ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่น ทว่าขนตากลับสั่นไหวไม่หยุด หรูซย่าที่เหลือบไปเห็นโดยไม่ตั้งใจพลันรู้สึกงงงัน คนสิ้นสติที่ไหนเป็นเช่นนี้กัน
ความจริงหรูซิ่วไม่เพียงขนตาขยับไหว แต่หัวใจยังเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้หมดสติไปจริงๆ สติรับรู้ของเขาแจ่มชัดอย่างยิ่ง จะว่าไปแล้วก็น่าอายนัก ที่จริงเมื่อครู่เขาเพียงรู้สึกวิงเวียนจนก้าวพลาดเท่านั้น หลังจากนั้นถึงค่อยพบว่าตัวเองถูกองค์ชายสามอุ้ม ชั่วขณะนั้นสองขาพลันสิ้นแรงขึ้นมาจริงๆ จึงได้แต่ทำหน้าหนาซบแผงอกขององค์ชายสาม แสร้งทำเป็นหมดสติ…
แต่จะบอกว่าหลอกลวงก็ไม่ถูกต้องนัก เขาเสียเลือดไปมากถึงเพียงนี้ ทั้งเจ็บบาดแผลอย่างยิ่ง ต้องหลับตาพักผ่อนให้มากจึงจะดี
ภายใต้แสงจันทร์ เด็กหนุ่มทำตัวราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นนายไม่ขยับ รู้สึกเพียงว่าอ้อมแขนที่โอบตนอยู่นั้นมั่นคงเหลือเกิน ขณะที่มุ่งหน้ากลับห้อง ร่างของเด็กหนุ่มเอนไหวไปตามฝีเท้าหนักแน่นขององค์ชายสาม เขาเริ่มรู้สึกง่วงงุน เบาสบายราวอยู่บนก้อนเมฆ
หรูซิ่วมีความสุขนัก ในใจยิ่งหวานล้ำ คิดไม่ถึงว่าเพียงถูกมีดบินเล่มหนึ่งปักใส่เท่านั้น เขาก็ถูกองค์ชายสามโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ช่างเหนือความคาดหมายและโชคดีหาใดเปรียบ คุ้มค่าเหลือเกิน!
* เลี่ยเป้า หมายถึง เสือดาว