overgraY
ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย
ล่วงเกินอย่างไม่อาจให้อภัย บังคับจูบนายท่าน
ในห้องแคบๆ ทุกคนพากันเบียดเสียดอยู่ข้างเตียง องค์ชายสามครอบครองเก้าอี้ที่มีอยู่ตัวเดียวในห้อง รอหรูซย่าตรวจดูบาดแผลของหรูซิ่วอย่างเป็นกังวล ไม่นานหรูซย่าก็เงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ‘องค์ชายสาม บาดแผลไม่ลึกมาก กระหม่อมจัดการทำแผลให้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ’
องค์ชายสามถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะสั่งให้หรูชุนกับหรูตงนำตัวมือสังหารไปขังไว้ในคุก ทั้งยังส่งองครักษ์มือดีสิบนายไปเฝ้าเอาไว้ หลังจากนั้นจึงค่อยเบาใจลงได้ เมื่ออารมณ์ผ่อนคลายลงแล้ว ชายหนุ่มถึงค่อยมีกะจิตกะใจมองสำรวจภายในห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในห้องของหรูซิ่ว
เตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ อีกหนึ่ง ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสมถะ บนเตียงมีผ้าห่มกลางเก่ากลางใหม่อยู่หนึ่งผืน ถุงเท้า รองเท้า ผ้าเช็ดหน้า ป้านชา ทุกอย่างล้วนแต่เป็นของเก่ารูปแบบเรียบง่าย ทว่าสะอาดสะอ้านยิ่ง
‘ข้าจำได้ว่าเมื่อปีก่อนได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเจ้านำไปตัดชุดกับรองเท้าถุงเท้าใหม่ ทั้งยังซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ไม่น้อย’ องค์ชายสามหันไปมองหรูซย่า ‘หรูซิ่วไม่ได้รับหรืออย่างไร’
หรูซย่านิ่งไป ก่อนจะรีบร้อนอธิบาย ‘ตอนนั้นเขาบอกว่าต้องการเพียงรองเท้าใหม่คู่เดียวเท่านั้น และยังบอกอีกว่าข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ยังใช้ได้อยู่ ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมให้ แต่เขาก็มาทวงเงินที่เหลือไปจากกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังนับจำนวนอย่างละเอียด กระหม่อมเห็นว่าที่จริงจำนวนเงินก็ไม่ได้มากอะไร เลยให้ไปพ่ะย่ะค่ะ’
หรูซิ่วที่แกล้งหลับอยู่บนเตียงอดขมวดคิ้วไม่ได้ พี่หรูซย่าจะพูดอ้อมค้อมหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร จำเป็นต้องโพล่งออกไปตรงๆ เช่นนี้ด้วยหรือ
องค์ชายสามนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่เคยได้ยินว่าบ่าวรับใช้คนไหนร้องขออะไรแบบนี้มาก่อน จึงตวัดสายตามองไปยังหรูซย่า ‘หรูซิ่วเจ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้ข้าพอจะรู้ แต่เจ้าก็ตามใจเขาเกินไปแล้ว’
ผ้าห่มและเสื้อผ้าล้วนแต่มีรอยปะชุน เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วห้องก็ไม่มีของอะไรที่สามารถนำมาอวดอ้างได้เลย ยังดีที่บนโต๊ะมีที่ทับกระดาษกับเครื่องเขียน นอกจากนี้ยังมีแท่นสำหรับจุดธูปหอม หากไม่มีของเหล่านี้อาจจะทำให้หลงเข้าใจไปว่านี่เป็นห้องขัง องค์ชายสามคิดขณะพลิกกระดาษดู เขาอยากรู้ว่าหรูซิ่วเขียนอะไรบ้างในยามปกติ แต่กลับพบภาพวาดหลายแผ่นที่พับอยู่ด้านล่างสุด เมื่อมองอย่างละเอียดก็อดตะลึงงันไปไม่ได้ ความสงสัยผุดขึ้นในแววตา…
หรูซิ่วนอนอยู่บนเตียง ทว่าสองหูกลับชี้ชันราวกระต่ายน้อย ตอนที่ได้ยินผู้เป็นนายบอกว่าเขาเจ้าเล่ห์ก็ทั้งตระหนกทั้งอับอายจนเกือบจะลุกขึ้นมาโต้แย้ง เขาเจ้าเล่ห์เมื่อไรกัน
‘ที่จริงสองปีก่อนเขาก็เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ แทบไม่เคยซื้อข้าวของเครื่องใช้ บอกแต่ว่าต้องการเงิน กระหม่อมคิดว่าเงินที่เขาเก็บไว้คงมีไม่น้อย…’ หรูซย่าเกาหัว ครั้นเห็นสีหน้าองค์ชายสามทั้งฉิวทั้งขันก็รีบเดินไปที่เตียง ก่อนจะยื่นมือลูบๆ คลำๆ ‘ทั้งหมดเขาล้วนเก็บไว้ในกล่องใบหนึ่ง บอกว่าวันหน้าจะเก็บเอาไว้ซื้อของดี…’
‘อันใด จะซื้อของดีอะไรกัน’ องค์ชายสามหัวเราะออกมา คืนนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ทั้งยังเสี่ยงอันตรายไม่น้อย แต่ในเมื่อได้ของที่หายไปกลับคืนมาแล้ว ได้ฟังเรื่องสนุกผ่อนคลายอารมณ์บ้างก็ดีเหมือนกัน ชายหนุ่มเหลือบมองภาพวาดอีกครั้ง ในแววตายังมีรอยสงสัย แต่ไม่นานก็พับกระดาษแผ่นนั้นลงตามเดิม
หรูซิ่วกลับเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น โอดครวญเสียงเบา ขณะเดียวกันก็ผลักมือหรูซย่าออก ‘พี่หรูซย่า ต่อหน้านายท่าน ท่านอย่าพูดจาไร้สาระได้หรือไม่’
‘เจ้าฟื้นเร็วถึงเพียงนี้เชียว’ หรูซย่าตกใจ ทว่ากลับไม่สนใจอาการต่อต้านของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ไม่นานเขาก็ควานเจอกล่องผ้าใบหนึ่ง
หรูซิ่วเห็นดังนั้นก็รีบยื่นมือหมายจะแย่งคืนมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายตีมือดัง ‘เพียะ’ เมื่อมองตามก็เห็นว่าองค์ชายสามชิงเอากล่องผ้าไปแล้ว เด็กหนุ่มร้อนใจ รีบร้อนจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ถูกหรูซย่ากดให้นอนลงตามเดิม
‘เจ้าได้รับบาดเจ็บ นอนนิ่งๆ อย่าขยับ’ หรูซย่าออกคำสั่ง
‘นายท่านมิใช่จะไปตำหนักไจกงหรือขอรับ’ หรูซิ่วมองค้อนหรูซย่าทีหนึ่ง พอเห็นองค์ชายสามเปิดฝากล่องผ้าออกแล้วก็ยิ่งร้อนรนกว่าเดิม ‘หากไปสายจะถือเป็นการลบหลู่นะขอรับ!’
‘เหลวไหล ช้าไปครึ่งชั่วยามเท่านั้น ลบหลู่อันใดกัน’ องค์ชายสามตำหนิ ‘เจ้าต่างหากที่เที่ยวรีดไถทรัพย์ในวังของข้า คิดว่าจะรอดตัวหรือ’
หรูซย่าจิ้มหน้าผากเขาเบาๆ ‘เจ้าต้องโดนเสียบ้าง’
ความจริงในปีนั้นที่องค์ชายสามกับหรูซย่าเก็บเขามาจากข้างถนน นับแต่นั้นส่วนลึกในจิตใจของทั้งสองก็รักใคร่ตามใจเขาเป็นอย่างยิ่ง คราวนี้ก็เพียงเห็นเขาเป็นเด็กน้อย ตั้งใจจะหยอกล้อให้สำราญใจเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำให้กลัวหรือจะลงโทษแต่อย่างใด
เดิมหรูซิ่วก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ย่อมเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า เพียงแต่ในกล่องผ้าใบนั้นซ่อนของที่ไม่อาจให้ผู้เป็นนายเห็นเอาไว้ เขาร้อนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงได้แต่เอ่ยขอร้อง ‘ข้าปวดแผลนักขอรับ นายท่านละเว้นข้าเถิด อย่าล้อข้าเล่นอีกเลย คืนกล่องให้ข้าเถอะ อย่าเปิดดู อย่าแตะต้อง ข้าขอร้องนายท่าน!’
องค์ชายสามรู้สึกขบขันยิ่ง เดิมเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะค้นดูในกล่องอยู่แล้ว ครั้นเห็นหรูซิ่วร้อนใจจริงๆ จึงหัวเราะพลางปิดกล่องผ้าลงตามเดิม ขณะนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นของคุ้นตาภายในกล่อง หัวใจเขาพลันเต้นแรง เกิดความสงสัยเช่นเดียวกับตอนที่เห็นภาพวาด
‘เจ้าเกือบทำให้ข้าถูกองค์ชายสามเข้าพระทัยผิดว่าดูแลเจ้าไม่ดี บัญชีนี้พวกเราต้องค่อยๆ สะสาง’ หรูซย่าเอ็ดเสียงเบา ทว่าหรูซิ่วไม่มีกะจิตกะใจจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย ดวงตาแยกดำขาวชัดเจนเบิกกว้าง จ้องไปยังผู้เป็นนายด้วยความกังวล
องค์ชายสามเห็นสายตาของเขาก็ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มวางกล่องผ้าลงที่ปลายเตียง เขาตัดสินใจสั่งให้คนอื่นออกไปก่อน จากนั้นถึงพูดขึ้นว่า ‘หรูซย่า เจ้าช่วยพวกหรูชุนเก็บกวาดเรื่องนี้แล้วกัน แม้มือสังหารคนหนึ่งจะหนีไปได้ แต่หากป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อพิธีบวงสรวง’
‘ย่อมไม่อาจป่าวประกาศออกไปจริงๆ ขอรับ’ หรูซิ่วออกความเห็นพลางพยุงตัวขึ้นนั่ง ‘หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ฮ่องเต้ต้องทรงพิโรธหนัก พิธีบวงสรวงใกล้จะเริ่มขึ้นอยู่แล้ว อย่าทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากอีกจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้นพวกเราก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งการ มิสู้ค่อยจัดการในอีกสามวันให้หลัง รอให้สืบรู้เสียก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไหนจะเรื่องของจงเอ๋อร์อีก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย หากเป็นหนอนบ่อนไส้จริง เช่นนั้นสถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก’
องค์ชายสามขมวดคิ้วมุ่น หลายปีมานี้เขาสนใจแต่วิชาความรู้ น้อยครั้งนักที่จะไปมาหาสู่กับองค์ชายองค์อื่นๆ ทั้งไม่เคยจัดตั้งกลุ่มอำนาจของตัวเอง ด้วยหวังว่าจะอยู่อย่างสงบสุข แต่จากเหตุการณ์ในวันนี้ จะได้อยู่อย่างสงบหรือไม่ หาใช่เขาเป็นคนตัดสิน ‘เอาเช่นนี้แล้วกัน ระหว่างที่ข้าอยู่ที่ตำหนักไจกง เรื่องการไต่สวนมือสังหารก็ยกให้เป็นหน้าที่หรูซย่า ส่วนจงเอ๋อร์ก็รอให้เขารักษาตัวจนหายดีก่อน แต่เหตุการณ์ในวันนี้จำเป็นต้องสืบสาวเรื่องราวให้ชัดเจน ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดช่างบังอาจบุกเข้ามาขโมยของในวังของข้า’
หรูซิ่วนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น ‘นายท่านออกจากวังไปคราวนี้ ไม่สู้พาหรูชุนกับหรูตงไปด้วยเล่าขอรับ พวกเขาติดตามข้างกายนายท่านมาสิบกว่าปี อย่างไรก็เป็นคนของท่าน หากระหว่างที่ฮ่องเต้ทรงถือศีลกินเจเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก พวกเขาก็จะเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ อีกอย่างในวังแห่งนี้ก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น องครักษ์ลาดตระเวนก็ต้องจัดสรรกันใหม่’
‘เช่นนั้นก็ดี’ องค์ชายสามเห็นเขาคิดการณ์รอบคอบก็เอ่ยชม ‘หรูซย่า ให้หรูซิ่วเป็นผู้ช่วยของเจ้าดีหรือไม่’
‘เป็นเสนาธิการให้กระหม่อมดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ! ไม่เสียทีที่องค์ชายสามทรงเชิญอาจารย์มาสอนสั่ง เขาท่องตำรามามากมายถึงเพียงนั้น ไม่เสียเปล่าจริงๆ’ หรูซย่าตบบ่าเขา ‘เรื่องวรยุทธ์กระหม่อมมั่นใจ วิชาแพทย์ก็ไม่ได้ตื้นเขิน แต่หากต้องคิดวางแผนการ กระหม่อมคงต้องขบจนหัวระเบิดแน่พ่ะย่ะค่ะ’ พูดจบก็ตบบ่าหรูซิ่วอีกทีด้วยความสำราญใจ
‘เบาหน่อย ข้าเจ็บนะ’ หรูซิ่วกุมสีข้างพลางมองค้อนอีกฝ่าย ในใจยังเคืองเรื่องที่หรูซย่าค้นเอากล่องผ้าออกมาอยู่ไม่หาย
‘เจ้าออกไปจัดการเถิด อีกครู่ข้าก็จะออกเดินทางแล้ว’ องค์ชายสามสั่ง
หรูซย่าเห็นหรูซิ่วทำหน้าบึ้งก็รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงดีดหน้าผากเด็กหนุ่มทีหนึ่งถึงค่อยทำตามคำสั่ง
พริบตาในห้องแคบๆ ก็เหลือเพียงนายบ่าวสองคน
เหตุใดนายท่านยังไม่ออกไปอีก หรูซิ่วไม่เข้าใจ ครั้นเงยหน้ามององค์ชายสามก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอยู่ อีกทั้งแววตายังฉายรอยล้ำลึก มีสิ่งใดไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ คงมิใช่ว่าจะลงโทษเรื่องที่เขาสอดรู้สอดเห็นเมื่อตอนนั้นจริงๆ กระมัง
องค์ชายสามเดินมานั่งตรงขอบเตียง สบตาเขาพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ‘ข้าไม่รู้มาก่อนว่าวิชาตัวเบาของเจ้าจะก้าวล้ำถึงเพียงนี้ เพียงพริบตาเดียวก็เข้ามาขวางตรงหน้าข้าได้ ความจริงข้าหลบมีดบินเล่มนั้นได้ ไยเจ้าต้องเข้ามารับแทนด้วย’
หรูซิ่วหลุบตาลง ไม่โต้แย้ง
‘เด็กเช่นเจ้าไม่กลัวเลยหรือไร’ ชายหนุ่มถามเสียงเบา
‘ซิ่วเอ๋อร์กลัวว่านายท่านจะได้รับบาดเจ็บมากกว่าขอรับ’ ชีวิตต่ำต้อยของเขาจะนับเป็นอันใดได้
องค์ชายสามได้ยินก็รู้สึกสุขใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้า ท่าทางเหมือนเด็กน้อยน่ารันทดเมื่อปีนั้นไม่มีผิด ชั่วขณะหนึ่งจึงเกิดความสงสาร ยื่นมือไปลูบแก้มเขาโดยไม่รู้ตัว ‘เมื่อครู่ข้าเกือบถูกเจ้าทำให้ตกใจตายเสียแล้ว’
หรูซิ่วเงยหน้าขึ้นทันใด ในใจทั้งแตกตื่นทั้งยินดี ทว่าสีหน้ากลับเรียบเฉย เขาถามเสียงเบา ‘นายท่านเป็นห่วงซิ่วเอ๋อร์ด้วยหรือขอรับ’
‘พูดเรื่องเหลวไหลอันใดกัน ข้าย่อมเป็นห่วงเจ้า’ องค์ชายสามยิ้มน้อยๆ เขาเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายวาววับ ปรากฏความคาดหวังอย่างชัดเจน ชายหนุ่มลอบถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่ คิดอยู่นานถึงได้ถามขึ้นว่า ‘ปีนี้ซิ่วเอ๋อร์อายุเท่าใดแล้ว’
‘เดือนหน้าก็เต็มสิบเจ็ดแล้วขอรับ’ เด็กหนุ่มกระวนกระวาย ใจเริ่มกังวล ไยนายท่านไม่รีบออกไป แต่กลับถามว่าปีนี้เขาอายุเท่าใดแทน
องค์ชายสามพยักหน้า มองเขาด้วยสายตาอบอุ่น ‘นับดูแล้ว เจ้าติดตามอยู่ข้างกายข้าจวนจะแปดปีแล้วสินะ’
หรูซิ่วขานรับคำหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายออกรางๆ
‘เจ้าเป็นเด็กดี อายุยังน้อยก็ชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊ วันข้างหน้า…’
‘นายท่านจะขับไสข้าออกไปหรือขอรับ’ หรูซิ่วตัดบทคำพูดเขา ‘นายท่านเห็นของที่อยู่ในกล่องผ้าแล้วใช่หรือไม่’
องค์ชายสามไม่คาดคิดมาก่อนว่าหรูซิ่วจะพูดแทรกตนเช่นนี้ ยิ่งคาดไม่ถึงว่าเขาจะเผยสีหน้าทรมานใจออกมาให้เห็น ชั่วพริบตาคำพูดที่เตรียมไว้ก็สะดุด ไม่ผิด…เขาเห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องอย่างชัดเจน หากว่ากันตามจริงล้วนเป็นสิ่งของที่ผู้ใดก็ไม่มีทางเห็นค่า
ในกล่องผ้ามีเพียงพัดที่ด้ามจับพังเสียหายกับเศษหยกเนื้อดีทั่วไป ทุกอย่างล้วนเป็นของใช้ที่เขาเคยพกติดกาย ทว่าพังเสียหายไปเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีราคาแม้แต่น้อย ต่อให้วางทิ้งไว้ข้างถนนก็คงไม่มีใครชายตาแล เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งของที่ตนทิ้งขว้างไปอย่างไม่ใส่ใจ หรูซิ่วจะเก็บมันเอาไว้ ทั้งยังซ่อนไว้ใต้ที่นอนราวกับเป็นของล้ำค่า เข้านอนโดยมีมันอยู่ด้วยทุกคืน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพวาดที่วางอยู่บนโต๊ะ ทุกแผ่นล้วนเป็นภาพเหมือนของเขา องค์ชายสามไม่เคยเห็นเด็กรับใช้ในห้องหนังสือคนไหนเอาเจ้านายของตัวเองเป็นแบบฝึกวาดรูปมาก่อน ภาพวาดนั้นมีถึงสิบภาพ ทั้งยังวาดออกมาได้เหมือนจริงอย่างยิ่ง กระทั่งเขายังรู้สึกตกใจ
‘คิดไปถึงไหนกัน ข้าบอกเมื่อไรว่าจะไล่เจ้าออกไป’ องค์ชายสามเอ่ยเสียงนุ่ม
‘ต่อให้นายท่านไม่ไล่ข้าออกจากวัง แต่หลังจากนี้ก็คงไม่ให้ซิ่วเอ๋อร์รับใช้ข้างกายอีกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ’ หรูซิ่วหลุบตาลง กระซิบเสียงต่ำ ทว่ายังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
‘ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก เพราะข้ารู้ว่าเจ้าเฉลียวฉลาด วันนี้จึงตั้งใจจะพูดต่อหน้าให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เจ้าคิดเหลวไหลฟุ้งซ่านอีก’ ครั้นเห็นสีหน้าปวดใจอย่างไม่คิดปิดบังของอีกฝ่าย ราวกับกระต่ายขาวตัวน้อยน่าสงสารที่กำลังบาดเจ็บ ชั่วขณะนั้นองค์ชายสามพลันใจอ่อน เขาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบ ‘ข้าไม่ได้โทษเจ้า ทั้งไม่ได้บอกว่าเจ้าทำผิด และแน่นอนว่าไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้าเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้เจ้ายังเด็ก ยังหุนหันไม่รู้ความ ผ่านไปอีกหลายปี ความคิดความอ่านย่อมไม่เหมือนเดิม…’
‘ข้าไม่เปลี่ยน ไม่มีทางเปลี่ยน! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุของข้า ข้าเข้าใจความคิดของตัวเองดีทุกอย่าง!’ ขอบตาของหรูซิ่วรื้นไปด้วยน้ำตา พูดจบก็เงยหน้าสบสายตาอ่อนโยนดุจสายน้ำขององค์ชายสามตรงๆ พริบตานั้นหัวเขาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ฟ้าพลิกแผ่นดินหมุน เขาพลันเข้าใจว่าสิ่งที่คนโบราณเรียกกันว่าสายฟ้าดึงดูดเพลิงดิน* เป็นอย่างไร
ถูกต้อง เขามันไม่รู้ดีชั่วที่หลงรักนายท่าน เขาแอบเก็บสิ่งของที่นายท่านทิ้งขว้าง ทั้งยังนำออกมาชื่นชมทุกคืน ไม่ว่าจะว่างหรือไม่ว่างเขาก็ต้องวาดภาพเหมือนของนายท่านอย่างสุดฝีมือ ต่อให้หลับตาก็ยังวาดได้ เขาถึงขั้น…เกิดความคิดน่าอับอายมากมายขึ้นในหัว…
‘เจ้าเด็กคนนี้นี่…’ องค์ชายสามเห็นดวงตาของอีกฝ่ายวาววับ อารมณ์พลุ่งพล่าน จึงรีบปลอบ ทว่ากลับถูกตัดบทอย่างคาดไม่ถึง
‘ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว!’
พูดจบหรูซิ่วก็ไม่ทันยั้งคิด โถมร่างออกไปข้างหน้า ประกบปากตนกับองค์ชายสามอย่างแม่นยำ จุมพิตริมฝีปากที่เขาเฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เขารู้ว่าตัวเองขวัญกล้าเทียมฟ้า รู้ว่าโทษของตนหนักหนาสาหัสนัก แต่เขาไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เขารู้ใจตัวเองมานานแล้วว่าอยากจะทำเช่นนี้กับองค์ชายสาม เขาได้แต่คิด!
องค์ชายสามตะลึงงัน! ยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครล่วงเกินเขาเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ต่อให้เขาคิดจนสมองแทบแตกก็ไม่มีทางคาดได้ว่าเด็กหนุ่มที่เติบโตอยู่ข้างกายคนนี้จะโถมร่างเข้ามาจูบตน
ร่างกายของหรูซิ่วราวกับถูกเชิดชัก ไม่สนบาดแผลบนร่าง ไม่สนว่าตนกำลังหลั่งน้ำตาอย่างห้ามไม่อยู่ เขารวบรวมความกล้าขบเม้มริมฝีปากขององค์ชายสาม เพียงจูบเดียวกายก็สั่นสะท้านราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่านสันหลัง ราวกับดาวตกร่วงหล่นลงบนแก้ม
เขารู้อยู่แล้ว! ริมฝีปากขององค์ชายสามช่างหวานล้ำ เมื่อได้แนบชิดความหวานก็แผ่ซ่าน ริมฝีปากขององค์ชายสามราวกับสายฟ้า เพียงสัมผัสก็ทำให้ฝ่ามือเขาชาหนึบเหมือนถูกฟ้าผ่า กระทั่งฝ่าเท้าก็ไม่เว้น ความรู้สึกเหน็บชาทำให้เขาแทบเข่าอ่อน แต่เมื่อได้ดูดเม้มอีกครั้งก็ลืมตัวไปสิ้น ริมฝีปากดั่งจะลุกเป็นไฟ ร้อนลวกไปทั้งสรรพางค์กาย เขาหวังแต่จะสนิทแนบให้มากยิ่งขึ้นจึงแลบปลายลิ้นออกไปอย่างบ้าบิ่น ทว่าเพิ่งจะสอดเข้าไป ฝันหวานกลับถูกทำลาย องค์ชายสามเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะผลักเขาออกเบาๆ
‘ซิ่วเอ๋อร์…’ องค์ชายสามส่ายหน้า ริมฝีปากของเขาเปียกชื้น ใจสับสนว้าวุ่น ชั่วขณะนั้นบรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
หรูซิ่วมองคนตรงหน้า น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย ความหวานยังกำจายอยู่บนริมฝีปาก ในอกยังมีดาวตกร่วงหล่น แต่ทุกอย่างพลันหยุดชะงัก เขากัดริมฝีปาก พูดด้วยเสียงหนักแน่น ‘ซิ่วเอ๋อร์ล่วงเกินนายท่าน แต่ซิ่วเอ๋อร์ไม่มีวันเสียใจภายหลัง’
หากจิตใจเพ้อฝันของเขาทำให้ผู้เป็นนายบันดาลโทสะก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาเพียงกลัวว่าจะสูญเสียความรักใคร่เอ็นดูที่อีกฝ่ายมีให้ในหลายปีที่ผ่านมาจนหมดสิ้น! บนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดน่าหัวเราะไปกว่าเขาอีก ถึงขั้นกล้าบังคับจูบเจ้านายของตน ยังจะมีใครน่าสมเพชยิ่งไปกว่าเขาอีกที่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้า!
หรูซิ่วปาดน้ำตาอย่างแรง ข่มความเจ็บปวดจากบาดแผล ลงจากเตียง ไม่แม้แต่จะสวมรองเท้า เปิดประตูวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว…
ถึงอย่างไรคืนนี้ก็ทำผิดมามากพอแล้ว ต่อให้เพิ่มโทษตายฐานหนีความผิดอีกสักข้อก็ไม่เห็นจะเป็นไร!
* สายฟ้าดึงดูดเพลิงดิน เดิมหมายถึงปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่มักจะเกิดฟ้าแลบฟ้าร้องตามมาคู่กัน แต่ในอีกความหมายหนึ่งใช้เปรียบเปรยเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง