ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 2
หลังเสี่ยวเฉียวออกจากประตูเมืองไป จวนผู้ว่าการซึ่งเมื่อครู่ได้ยินเสียงของเครื่องดนตรีโหมบรรเลงดังสะเทือนฟ้าก็เงียบเชียบลงตามลำดับ แขกเหรื่อแยกย้ายไปจนสิ้น เห็นเพียงเฉียวผิงยังคงหันหน้าไปทางประตูใหญ่โดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นนานสองนาน เฉียวเยวี่ยจึงเดินตรงไปพูดโน้มน้าวให้เขาเข้าเรือน “น้องรอง หลานสาวจากไปไกลแล้ว ภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเมืองเมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้เห็นกับตาแล้วมิใช่หรือ ข้าล่ะปลาบปลื้มใจยิ่งนัก”
เฉียวผิงค่อยๆ หมุนกายมากล่าว “พี่ชาย ข้ามีคำพูดหนึ่งซึ่งเดิมทีไม่สมควรถาม แต่มันรบกวนจิตใจข้ามาเนิ่นนานแล้ว ขอใช้โอกาสนี้บังอาจเรียนถามท่านสักหน่อยเถอะ เมื่อสิบปีก่อนท่านพ่อยกทัพไปปราบปรามหลี่ซู่ พอเปิดศึกกลับรั้งรอไม่ยอมเคลื่อนไหวจนเป็นเหตุให้เว่ยจิงกับลูกเสียชีวิต และทำให้ต้องบาดหมางกับสกุลเว่ย ที่แท้ตอนนั้นท่านพ่อเคยส่งทูตนำสารไปแจ้งต่อเว่ยจิงหรือไม่กันแน่ ตอนนั้นพี่ชายก็ติดตามท่านพ่อไปออกรบ น่าจะรู้แจ้งในเรื่องนี้กระมัง”
เฉียวเยวี่ยตะลึงงันไปชั่วอึดใจก่อนโบกมือกล่าวพร้อมสีหน้าขุ่นเคือง “เรื่องก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว จู่ๆ เจ้ามาเอ่ยถึงในตอนนี้เพื่ออะไร ไม่ว่าตอนนั้นผู้ใหญ่จะจัดการไปเช่นไรก็ย่อมมีเหตุผลของท่าน ไหนเลยจะให้พวกเราที่เป็นบุตรชายมาออกความเห็นได้”
เฉียวเยวี่ยตอบเช่นนี้ สิ่งที่เฉียวผิงคาดเดาอยู่ในใจก็ได้รับการยืนยันแน่ชัดแล้ว
เมื่อสิบปีก่อนสกุลเว่ยจัดงานศพหลังจบการศึกที่เมืองเฉิน เฉียวกุยผู้เป็นบิดาส่งเฉียวผิงไปร่วมไว้อาลัยที่เมืองอวี๋หยาง แม่ทัพสกุลเว่ยชักดาบใส่เฉียวผิงด้วยโทสะกลางโถงตั้งศพ ก่นด่าว่าเฉียวกุยมากเล่ห์เพทุบาย ตอนเกิดเหตุไม่ได้ส่งสารมาสักนิด เพียงนั่งบนภูผาชมพยัคฆ์สู้กัน เท่านั้น เฉียวผิงหวาดหวั่นยิ่งนัก นึกว่าตนจะไม่อาจเดินพ้นประตูใหญ่จวนสกุลเว่ยนั้นได้เสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าสวีฮูหยินไม่เพียงต่อว่าเหล่าแม่ทัพด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวต่อหน้าตน ยังปลอบขวัญตนด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล เมื่อเฉียวผิงพ้นภัยรอดชีวิตกลับมาถึงมณฑลเหยี่ยนโจวแล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาให้เฉียวกุยผู้เป็นบิดาฟังอย่างละเอียด
จวบจนทุกวันนี้เขาก็ยังจำได้แจ่มชัด ตอนนั้นบิดามุ่นคิ้วอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงถอนหายใจกล่าวว่า ‘สกุลเว่ยมีสตรีเยี่ยงนี้ เกรงว่าวันหน้าจะเป็นภัยต่อสกุลเฉียวของข้า!’
สิบปีมานี้เฉียวผิงแคลงใจมาตลอดว่าตอนนั้นบิดาได้ส่งสารไปจริงๆ หรือไม่ ด้วยบิดาเป็นคนรอบคอบเจ้าแผนการและเคยตั้งปณิธานอันฮึกเหิม ยามนั้นแม้อำนาจของสกุลเว่ยยังคงอยู่ในดินแดนเยียนโยวทางเหนือ ไร้วี่แววว่าจะรุกรานลงมายังมณฑลเหยี่ยนโจว ทว่าเว่ยจิงที่คอยกวดขันวินัยทัพอย่างเคร่งครัดสร้างความชอบจนได้รับบรรดาศักดิ์โหว อีกทั้งมีชื่อเสียงบารมีด้านคุณธรรมและความสามารถ ผู้คนในใต้หล้าต่างไปสวามิภักดิ์รับใช้ เริ่มมีแนวโน้มจะกลายเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ บางทีบิดาอาจมองเห็นแล้วว่าหากภายหน้าสกุลเว่ยผงาดขึ้นมาเมื่อใดก็จะส่งผลเสียต่อการขยายอำนาจของมณฑลเหยี่ยนโจวเป็นแน่ ถึงได้พายเรือตามน้ำ หมายยืมมือหลี่ซู่ขจัดภัยแฝงนี้เท่านั้น
“น้องรอง สองสกุลดองญาติ ทั้งคลี่คลายความร้าวฉาน ทั้งแก้วิกฤตเฉพาะหน้าของเหยี่ยนโจว มีอันใดไม่เหมาะสมกัน เจ้าอย่าได้คิดมากอีกเลย”
เฉียวผิงยิ้มเฝื่อน “พี่ชาย หมานหมานได้ออกเรือนไปตามความปรารถนาของท่านแล้ว ปัญหาของเหยี่ยนโจวก็ถือว่าคลี่คลายลงชั่วคราว นับจากนี้หวังว่าท่านจะทุ่มเทใจกายนำเหยี่ยนโจวไปสู่ความเข้มแข็ง กอบกู้เกียรติแห่งสกุลเฉียวของพวกเรา เช่นนี้ไม่เพียงสร้างประโยชน์สุขแก่ชาวเมือง หมานหมานที่ไปอยู่สกุลเว่ยก็ยังนับได้ว่ามีที่พึ่งพา”
เฉียวเยวี่ยเผยสีหน้ากระดากใจก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “แน่นอนๆ น้องรองวางใจได้”
เว่ยเหลียงนำองครักษ์สกุลเว่ยหนึ่งหน่วยคุ้มกันเสี่ยวเฉียวขึ้นเหนือ เดินทางกลางวันพักผ่อนกลางคืน แรกเริ่มระหว่างทางยังคงไร้เรื่องราวใด จนกระทั่งใกล้จะเข้าสู่เขตแดนมณฑลจี้โจว วันหนึ่งยามที่ฟ้าเพิ่งมืดลง ขบวนรถและม้ายังไม่ทันรุดไปถึงจุดพักเปลี่ยนม้า ประจวบกับต้องผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวเปลี่ยวร้าง เว่ยเหลียงรู้สึกว่าที่เบื้องหลังคล้ายมีคนสะกดรอยตามมาจึงรีบสั่งการให้องครักษ์ย้อนกลับไปตรวจสอบ ก่อนที่พวกเขาจะกลับมารายงานว่าไม่พบความผิดปกติใด
รูปโฉมภายนอกของเว่ยเหลียงแม้ดูเหมือนเป็นคนมุทะลุ แต่แท้จริงแล้วกลับมีความคิดละเอียดดุจเส้นผม หลังจากรับฟังองครักษ์รายงานแล้วเขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ คืนนั้นหลังจากเข้าพักที่จุดพักเปลี่ยนม้า เขาก็ยืนกุมดาบเฝ้าอยู่นอกห้องของเสี่ยวเฉียวด้วยตนเอง วันรุ่งขึ้นก็เพิ่มการป้องกันและรีบเร่งเดินทางมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดก็ส่งเสี่ยวเฉียวมาถึงเมืองซิ่นตูที่อยู่ในมณฑลจี้โจวได้ก่อนสิ้นปีโดยราบรื่น
เมืองเก่าซิ่นตูนี้มีพื้นที่ไม่กว้างใหญ่เท่าใดนัก ทว่ากลับเป็นที่รู้จักของทุกผู้คนในมณฑลจี้โจว
การศึกระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นเว่ยในสมัยจั้นกั๋วนั้น แคว้นจ้าวสูญเสียเมืองหลวงหานตานไปสามปี ระหว่างนั้นจึงยกซิ่นตูขึ้นเป็นเมืองหลวงแทน ในเมืองสร้างวังซิ่นขึ้นมา ภายในวังมีหอหลังหนึ่งนามว่าถานไถ สร้างด้วยไม้จันทน์อายุร้อยปี มีความสูงถึงสิบกว่าจั้ง เมื่อขึ้นไปบนหอจะสามารถมองเห็นได้ทั้งเมือง แม้ล่วงผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ยังคงดำรงอยู่ หลังผ่านการซ่อมแซมมาหลายครั้ง ‘วังซิ่น’ จึงถูกตัดคำว่า ‘วัง’ ไปแล้วเปลี่ยนเป็น ‘จวน’ กระทั่งกลายมาเป็นจวนผู้ว่าการในปัจจุบัน
เมื่อต้นปีเว่ยเซ่าชิงเมืองซิ่นตูจากมือของเกาถังอดีตผู้ว่าการมณฑลจี้โจวได้ จากนั้นก็พำนักอยู่ในอดีตวังซิ่นนี้เรื่อยมา
ขบวนรถเจ้าสาวของเสี่ยวเฉียวแล่นเข้าสู่ประตูเมืองช้าๆ สิ่งที่นางเห็นผ่านหน้าต่างรถม้าคือผิวน้ำในคูเมืองอันเรียบสงบไร้ริ้วคลื่น ถนนสายหลักในเมืองสายนั้นถูกปูด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่สีเทาอมเขียวดูราบเรียบและกว้างขวาง ถึงขนาดที่ม้าสิบตัวสามารถเดินเรียงหน้ากระดานได้ สองข้างทางแน่นขนัดด้วยบ้านเรือนราษฎร ภาพของตัวเมืองและท้องถนนที่นี่ไม่เหมือนกับเมืองตงที่นางคุ้นตาเสียทีเดียว อีกทั้งสิ่งที่โชยมาปะทะใบหน้าของนางก็ยังมีกลิ่นอายของอดีตดินแดนเยียนจ้าว คนเดินถนนทุกเพศทุกวัยเมื่อพบเห็นรถม้าคันใหญ่ที่นางนั่งมานั้นต่างก็หยุดฝีเท้ามองดูอย่างไม่วางตา บนใบหน้าล้วนเผยแววสงสัยใคร่รู้ราวกับไม่รู้สักนิดว่าเว่ยเซ่ากำลังจะแต่งภรรยา
ภายใต้สายตาจ้องมองด้วยความใคร่รู้ตลอดรายทาง ท้ายที่สุดรถม้าก็จอดที่เบื้องหน้าประตูจวนซิ่น องครักษ์สวมชุดเกราะซึ่งยืนอย่างน่าเกรงขามอยู่หน้าประตูย่อมรู้จักเว่ยเหลียงจึงเปิดประตูให้เข้าไป
เสี่ยวเฉียวถูกประคองลงมา ในที่สุดก็พ้นจากรถม้าซึ่งนั่งโคลงเคลงมาตลอดหลายวัน นางเดินเข้าสู่จวนซิ่นพร้อมกับชุนเหนียงและสาวใช้หลายคนที่ติดตามมากับขบวนเจ้าสาว
ระหว่างการเดินทางอันน่าเบื่อหน่าย เพื่อเป็นการฆ่าเวลาชุนเหนียงจึงอดไม่ได้ที่จะจินตนาการภาพเหตุการณ์ในวันข้างหน้าไปไม่น้อย กระทั่งภายหลังถึงกับนึกภาพสถานที่จัดพิธีมงคล
ยามนี้สิ่งที่ได้เห็นกับตาของตนคือ…จวนซิ่นที่แม้จะใหญ่โต ตัวเรือนโอ่อ่าภูมิฐานเพียงใด ทว่าภายในกลับดูวิเวกวังเวง อย่าว่าแต่บรรยากาศครึกครื้นรื่นเริงของการเตรียมงานมงคลที่อยู่ในจินตนาการของชุนเหนียงเลย กระทั่งผู้คนยังพบเห็นเพียงไม่เท่าไร เดินไปครู่หนึ่งถึงจะมีสตรีอายุราวสี่สิบผู้หนึ่งเดินมา เครื่องแต่งกายของนางดูสุภาพเข้าที ดวงหน้าเคร่งขรึมเผยความเข้มงวดออกมาหลายส่วน เบื้องหลังยังนำหญิงรับใช้อาวุโสมาอีกหลายคน นางบอกว่าตนเองแซ่จง รับคำสั่งให้มาต้อนรับเจ้าสาวสกุลเฉียวที่นี่ แม้น้ำเสียงไม่ขาดความนอบน้อม ทว่าแววตาที่ใช้มองเสี่ยวเฉียวนั้นกลับชวนให้รู้สึกอยู่ตลอดว่าอีกฝ่ายมีความเย็นชาแผ่ซ่านออกมาเล็กน้อย
เสี่ยวเฉียวคาดเดาว่าสตรีผู้นี้แม้เป็นบ่าว แต่ในสกุลเว่ยอีกฝ่ายก็น่าจะมีฐานะในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงเรียกขานอีกฝ่ายตามธรรมเนียมปกติว่า “จงเหนียง”
“มิกล้า บ่าวเป็นเพียงข้ารับใช้ รับบัญชามาให้ฟังคำใช้สอย นายหญิงเรียกบ่าวว่าจงเอ่า ก็พอเจ้าค่ะ”
จงเอ่านำพาเสี่ยวเฉียวมาถึงเรือนพักนามว่า ‘อวี่หยาง’ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกหันหน้าเรือนสู่ทางทิศใต้ ที่นี่จึงรับแสงสว่างได้ดียิ่ง
จงเอ่าทิ้งหญิงรับใช้อาวุโสสองคนไว้ให้เสี่ยวเฉียวใช้สอย บอกว่ามีเรื่องอันใดเรียกหาตนได้อย่างเต็มที่ พูดจบก็ค้อมกายให้เสี่ยวเฉียวแล้วหมุนตัวจากไป
จงเอ่าจากไปเช่นนี้ ชุนเหนียงไม่แคล้วผิดหวังอย่างรุนแรง ยิ่งรู้สึกสงสารเสี่ยวเฉียวจับใจ นางสั่งให้หญิงรับใช้อาวุโสสองคนที่จงเอ่าทิ้งไว้ออกไป ส่วนตนเองก็ง่วนอยู่กับการปูตั่งจัดที่นั่งร่วมกับสาวใช้พลางบ่นกระปอดกระแปดเสียงเบา สุดท้ายจึงเปรยว่า “ที่แท้ยามนี้เว่ยโหวผู้นั้นอยู่ในเมืองหรือไม่ แล้วกำหนดเข้าพิธีเป็นเมื่อใดกันแน่”
ชุนเหนียงกังขา เสี่ยวเฉียวเองก็งุนงงไม่รู้คำตอบนี้เช่นกัน สาวน้อยทุบน่องที่เมื่อยเกร็งเล็กน้อยจากการนั่งรถม้าเป็นเวลานาน จากนั้นจึงลุกเดินมายังหน้าต่าง ผลักเปิดแล้วทอดตามองออกไปเบื้องนอก
ลานนอกเรือนโล่งกว้าง ใกล้กับเรือนอวี่หยางที่นางพำนักอยู่มีหอทรงโบราณที่เรียบง่ายสูงผงาดขึ้นจากพื้นดิน แสงตะวันลำหนึ่งลอดผ่านร่องตรงส่วนที่เหินงอนของชายคาพอดิบพอดี พลันแต้มแสงอันสว่างไสวฉายลงมาหนึ่งวง พร่าตาผู้ชมเล็กน้อย