ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 2
ทุกวันจะมีบ่าวส่งอาหารและน้ำแกงร้อนๆ มาตามเวลาที่แน่นอน ปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าดูเหมือนเสี่ยวเฉียวจะออกจากประตูของจวนซิ่นไม่ได้ อีกทั้งดูเหมือนว่านางจะถูกผู้คนหลงลืมไปเสียแล้ว
นับจากวันนั้นจงเอ่าก็ไม่ได้เผยหน้ามาอีก ส่วนสามี…เรียกอีกฝ่ายว่าสามีไปก่อนแล้วกัน บุรุษนามเว่ยเซ่าผู้นั้นยิ่งไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา
เป็นเช่นนี้กระทั่งอีกเพียงพริบตาเดียวก็จวนจะสิ้นปีแล้ว ชุนเหนียงเริ่มกระสับกระส่าย นางคว้าตัวหญิงรับใช้อาวุโสสองคนนั้นมาสอบถามนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าดูเหมือนพวกนางจะฟังแต่จงเอ่า ไม่ว่าซักถามสิ่งใดก็เอาแต่ส่ายหน้า ครั้นคาดคั้นมากๆ เข้าก็คุกเข่าโขกศีรษะขอขมา ทำเอาชุนเหนียงโกรธไม่เบาทีเดียว เตรียมจะไปถามจงเอ่าผู้นั้นให้ชัดแจ้ง แต่ก็ถูกเสี่ยวเฉียวยับยั้งไว้เสียก่อน
ในเมื่อมาถึงแล้วก็จงทำใจให้สบายเสียเถอะ นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เขาไม่รีบ…นางยิ่งไม่รีบ
วันตรุษของรัชศกติ้งคังที่เจ็ดจวนจะมาถึงแล้ว
จนกระทั่งมาอยู่ในยุคนี้ เสี่ยวเฉียวถึงเพิ่งรู้ว่าวันตรุษซึ่งชนรุ่นหลังเห็นเป็นเทศกาลมงคลอันเป็นวันรวมญาติที่สำคัญที่สุดในรอบปีนั้น แท้จริงในความคิดอันเรียบง่ายจากยุคบรรพกาลสืบทอดมาจนถึงยามนี้นั้นกลับมิได้สื่อความหมายที่เป็นสิริมงคลแต่อย่างใด เฉกเช่นต้นไผ่อันเรียบลื่นที่มีเพียงส่วน ‘ข้อ’ เท่านั้นที่ขรุขระ วันซึ่งเป็นรอยต่อของเวลาเช่นนี้จึงเขียนด้วยอักษรตัวเดียวกับ ‘ข้อ’ ของข้อไผ่* วันตรุษที่เรียกขานกันก็คือวันที่ขรุขระไม่เป็นมงคลที่สุดของฤดูวสันต์ ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อขอพรและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายนี้เอง ผู้คนในยุคนี้ถึงได้ต้อนรับวันตรุษด้วยการรวมตัวกันปัดกวาดชะล้างฝุ่นผง ระดับความครึกครื้นนี้ยังอยู่ห่างชั้นกับวันตรุษของชนรุ่นหลังอย่างลิบลับ
เสี่ยวเฉียวไม่อาจออกไปข้างนอก แน่นอนว่านางเองก็ไม่เคยคิดอยากจะออกไปเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครขัดขวางหากนางจะขึ้นไปบนหอถานไถที่อยู่ใกล้ๆ หลังนั้น
หลายวันมานี้นางจึงมักขึ้นมาบนหอถานไถ ทอดตาชมเมืองเก่าแก่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้
หอถานไถสูงยิ่งจริงๆ สูงกว่ากำแพงเมืองเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ของชั้นบนสุดนี้ ยังสามารถมองเห็นท้องทุ่งนอกกำแพงเมืองได้ไกลจนสุดสายตา
เหลืออีกเพียงไม่กี่วันสุดท้ายก่อนสิ้นปี หิมะก็โปรยปรายลงมา ยามเที่ยงหิมะถึงหยุดตก ดวงตะวันที่เยี่ยมหน้าออกมาดูงามระยับเป็นพิเศษ
เสี่ยวเฉียวซุกร่างงีบหลับอยู่ในห้องตลอดช่วงบ่าย จนกระทั่งใกล้พลบค่ำแล้วจึงค่อยขึ้นไปบนหอถานไถ
ไม่กี่วันมานี้นางจะขึ้นมาบนหอ รอคอยให้อาทิตย์อัสดงในช่วงเวลานี้เสมอ
นอกกำแพงเมืองคือท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง หากนางเป็นนักกวี ขณะชมตะวันรอนแล้วเห็นแสงลำสุดท้ายตรงปลายทุ่งถูกเส้นขอบฟ้ากลืนหายไปจนสิ้นนั้น ไม่แน่นางอาจแต่ง ‘ลำนำขึ้นหอชมตะวันรอน’ สักบทที่สามารถตกทอดสู่ชนรุ่นหลังก็เป็นได้
ยามสายัณห์ของวันนี้แทบไม่มีสิ่งใดผิดแผกไปจากวันก่อนๆ มีเพียงแค่บนหลังคาที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะประดุจปุยฝ้าย บนท้องถนนแต้มด้วยสีขาวสลับดำกระจายอยู่ตามพื้นราวกับดวงดาวมากมาย แต้มสีขาวเหล่านั้นคือหิมะที่ทับถม ส่วนสีดำคือสีเดิมของพื้นถนนที่เผยออกมาเมื่อถูกคนย่ำไปมาจนหิมะละลาย ผู้คนเป็นเช่นในยามปกติ ต่างก็ฉวยโอกาสสุดท้ายก่อนสิ้นแสงสนธยานี้ง่วนอยู่กับสิ่งที่ตนกำลังทำ บ้างหาบของ บ้างเข็นรถ บ้างก็สาวเท้าเร่งเดิน…เด็กน้อยหลายคนยังกอบหิมะมาสุมรวมอยู่ที่มุมตรอกอย่างร่าเริงอยู่เลย เสียงหัวเราะที่เปล่งออกมาราวกับส่งผ่านมาจนถึงบนหอสูงหลังนี้
“ฟ้าจวนมืดแล้วนะเจ้าคะ! อากาศหนาวแห้งเหลือเกิน! สายลมโชยมาราวกับมีดกรีด! ในห้องมีกระถางไฟอยู่ นายหญิงลงไปกันเถิด!”
หลังจากหอบร่างท้วมของตนปีนขึ้นบันไดมาหลายสิบขั้นแล้ว ชุนเหนียงก็เอ่ยชักจูงเสี่ยวเฉียวด้วยอาการพูดปนหอบ พลางห่มเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเพิ่มให้นางอีกตัว
ครึ่งชีวิตแรกของชุนเหนียงไม่เคยลาจากเมืองตงซึ่งมีอากาศอบอุ่นชุ่มชื้นมาก่อน ยามนี้เพิ่งมาถึงเมืองซิ่นตูได้ไม่นานจึงออกอาการไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศของที่นี่อยู่บ้าง หากเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาเลยตลอดเช้าจรดค่ำ
สายลมบนยอดหอถานไถพัดแรงยิ่งจริงๆ เสี่ยวเฉียวรวบสองมือขึ้นมาอังใกล้ปาก ระบายลมอุ่นออกมาหลายคำ จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือที่ยังหลงเหลือไออุ่นประคบแก้มที่ถูกแช่แข็งจนเย็นเฉียบ ขณะหมุนกายเตรียมจะตามชุนเหนียงลงไป เสียงรางๆ เสียงหนึ่งก็พลันแว่วไกลมาจากทิศทางที่ตะวันตกดิน
เสียงนี้แรกเริ่มเลือนรางและทุ้มแผ่ว เสี่ยวเฉียวยังนึกว่าตนหูแว่วไปเสียด้วยซ้ำ ทว่าไม่ช้าเสียงนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแจ่มชัดขึ้น รวดเร็วจนทำให้นางตั้งตัวไม่ติดอยู่บ้าง ประหนึ่งเป็นเสียงฟ้าคำรามกระหึ่มที่ดังขึ้นบนพื้นดิน
เสี่ยวเฉียวชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะหันขวับทอดตามองไปที่ไกลๆ อีกครั้ง
นอกกำแพงเมือง ท้องทุ่งขาวโพลนซึ่งเดิมทีเงียบสงัดราวกับฟื้นตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา ณ บริเวณที่อยู่สุดสายตานั้นเอง หมอกหิมะกลุ่มหนึ่งคล้ายถูกลมกระโชกหอบม้วนขึ้นมาจากพื้น ปกคลุมไปทั่วท้องนภา บดบังตะวันรอนครึ่งดวงที่อยู่ปลายเส้นขอบฟ้า ตรงนั้นคล้ายกับมีธงทิวปรากฏให้เห็นอยู่รำไร
“นั่นมันอะไรกัน!” ชุนเหนียงเบิกตาโตเมื่อมองตามสายตาของเสี่ยวเฉียวไป แล้วสุ้มเสียงของนางก็ตระหนกลนลานอย่างห้ามไม่อยู่
เสี่ยวเฉียวเพ่งพิศต่อ เสียงดั่งฟ้าคำรามนั้นชัดเจนขึ้นทุกที ในที่สุดนางก็เห็นได้ชัดถนัดตา นั่นคือทหารม้ากองใหญ่เรือนพันกำลังห้อตะบึงอย่างเร็วมุ่งมายังทิศทางของกำแพงเมือง เมื่อพวกเขาเคลื่อนใกล้เข้ามา แสนยานุภาพเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากอสนีที่ฟาดลงมาจนแผ่นดินสั่นไหวนิดๆ
“ท่านโหวกลับมาแล้ว!”
“ท่านโหวกลับมาแล้ว!”
ชั่วครู่ให้หลังเสียงโห่ร้องกึกก้องพลันดังขึ้นที่เชิงกำแพงหน้าประตูเมือง เสียงนี้โหมกระพือมาตามแรงลม ยิ่งเพิ่มความกังวานขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า จนกระทั่งสะพัดขึ้นเหนือผืนฟ้ายามสนธยาของเมืองเก่าซิ่นตู และส่งมาจนถึงหูของเสี่ยวเฉียว
ผู้คนบนท้องถนนก็ได้ยินแล้วเช่นกัน พวกเขาต่างชะงักฝีเท้า หลังหยุดนิ่งเพียงชั่วอึดใจก็พากันวิ่งฉิวไปยังทิศทางของประตูเมืองโดยไม่ต้องนัดหมาย
“ท่านโหวกลับมาแล้ว! ท่านโหวกลับมาแล้ว!”
ทั่วทั้งเมืองเก่าแห่งนี้พลันปั่นป่วน ผู้คนจำนวนมากกว่าเดิมเริ่มวิ่งออกจากเรือนมาส่งข่าวต่อๆ กัน
ภายหลังที่เสี่ยวเฉียวเดินทางมาถึงเมืองซิ่นตูและอุดอู้อยู่แต่ในจวนซิ่นนานถึงครึ่งเดือน ในที่สุดยามสายัณห์หลังหิมะตกของวันนี้ เยียนโหวเว่ยเซ่าก็เดินทางจากเมืองป๋อหลิงที่อยู่ห่างไปหลายร้อยลี้กลับมาถึงเมืองซิ่นตูจนได้