ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 2
ฤดูเหมันต์กลางวันสั้น เมื่อทหารกลับค่ายและเว่ยเซ่าเข้ามาในเมือง ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
คบไฟหน้าประตูใหญ่ของจวนซิ่นสั่นไหว ชายหนุ่มสวมชุดเกราะหนักอึ้งซึ่งยังเคลือบด้วยเกล็ดน้ำแข็งหนึ่งชั้นเดินย่ำหิมะที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าบังเกิดเสียงสวบสาบ รอจนก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนขั้นบันไดแล้ว เว่ยเหลียงซึ่งเมื่อครู่ไปต้อนรับเขาถึงประตูเมืองและขณะนี้เดินมาพร้อมกับเขาพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบสาวเท้าไล่ตามขึ้นมา โน้มกายไปรายงานเสียงเบา “นายท่าน หญิงสกุลเฉียวมาถึงแล้ว! พำนักอยู่ที่เรือนอวี่หยางได้ครึ่งเดือนแล้วขอรับ”
เว่ยเหลียงเอ่ยเสริมอีกประโยค
“ตามที่จงเอ่าเล่า หญิงสกุลเฉียวผู้นี้นิ่งเงียบผิดธรรมดา กลางวันมักปิดประตูไม่ออกจากห้อง ยามตะวันรอนก็ขึ้นไปอยู่บนหอถานไถชั่วครู่เป็นครั้งคราว จงเอ่าเห็นว่าไม่มีความผิดปกติใดจึงมิได้ขัดขวางขอรับ”
เว่ยเซ่าเพียงส่งเสียงดังอืมเรียบๆ ฝีเท้ามิได้หยุดยั้งเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงก้าวข้ามธรณีประตูมุ่งตรงไปยังเรือนเซ่อหยางที่ตนพำนักในยามปกติ
เว่ยเหลียงมองส่งเงาหลังของผู้เป็นนาย เห็นอีกฝ่ายเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงัก หันขวับมองปราดไปยังทิศทางของเรือนอวี่หยางที่อยู่เบื้องหลัง
จากจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ยังมีประตูอีกหลายชั้นคั่นกลาง ไม่อาจมองเห็นที่นั่นแต่อย่างใด จะเห็นแค่เพียงเงาดำขนาดมหึมาของหอถานไถที่สูงผงาดฟ้าอยู่ข้างเคียง ท่ามกลางสีแห่งรัตติกาล หอถานไถแลคล้ายสัตว์ร่างยักษ์หมอบอยู่บนพื้นที่พร้อมพุ่งทะยานขึ้นไปได้ทุกเมื่อ
“สั่งการจงเอ่า พรุ่งนี้ทำพิธีแต่งงาน” เขาถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยปาก
“พรุ่งนี้หรือขอรับ!” เว่ยเหลียงตกตะลึง “เกรงว่าคงเตรียมการไม่ทัน…”
“ทุกขั้นตอนให้ทำอย่างเรียบง่าย”
เว่ยเซ่าหมุนกายเดินต่อไปเบื้องหน้าโดยไม่หยุดฝีเท้าอีก
เว่ยเหลียงมองส่งเงาหลังของเขาจากไป ลังเลเล็กน้อยก่อนหันหลังรุดไปหารือกับจงเอ่า
หลังจากอยู่ร่วมกันมาครึ่งเดือน หญิงรับใช้อาวุโสสองคนที่ถูกส่งมาปรนนิบัติเสี่ยวเฉียวก็คุ้นเคยกับชุนเหนียงขึ้นตามลำดับ ชุนเหนียงจึงเริ่มเลียบเคียงถามข้อมูลจากพวกนางมาได้บ้างไม่มากก็น้อย
ตามคำบอกเล่าของพวกนาง จงเอ่าคือคนสนิทข้างกายสวีฮูหยินผู้เป็นย่าของเว่ยเซ่า เพิ่งมาถึงเมืองซิ่นตูได้ไม่นานนัก จุดประสงค์ก็คือมาเพื่อจัดเตรียมงานมงคลของเว่ยเซ่ากับเสี่ยวเฉียว ส่วนพักก่อนที่เว่ยเซ่าไม่อยู่ในเมืองก็เพราะทางเมืองป๋อหลิงเกิดศึกขึ้นอีก กระทั่งบัดนี้เขาก็ได้รับชัยชนะกลับมาแล้ว
เว่ยเซ่าจะไปทำอันใดมาบ้างนั้น แท้จริงเสี่ยวเฉียวไม่ได้สนใจเท่าใดนักหรอก นานถึงครึ่งเดือนแล้วที่นางมาอุดอู้อยู่ที่นี่กว่าเขาจะปรากฏตัวในที่สุด ในยามนี้สิ่งที่นางห่วงใยเหนืออื่นใดก็คือเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก
หากเป็นไปตามที่สองสกุลตกลงกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ควรจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายอันเป็นขั้นตอนสำคัญ…นั่นก็คือพิธีแต่งงาน
“นายหญิงวางใจได้ ในเมื่อเว่ยโหวกลับมาแล้ว เรื่องอื่นล้วนพูดง่ายขึ้น พรุ่งนี้ข้าจะไปหาจงเอ่า ถามนางว่ากำหนดการแต่งงานเป็นเมื่อใดกันแน่”
ชุนเหนียงเห็นเสี่ยวเฉียวแลดูคล้ายหวาดหวั่น นึกว่านางกระวนกระวายใจจึงเอ่ยปลอบเสียงนุ่มนวล
“นายหญิงเปิดประตูเจ้าค่ะ!”
ตอนนี้เองเสียงของหญิงรับใช้สกุลเว่ยก็ดังมาจากหน้าประตูห้อง
ชุนเหนียงบีบมือของเสี่ยวเฉียวครั้งหนึ่งก่อนเดินไปเปิดประตู นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นจงเอ่าที่ไม่เผยหน้ามานานพักใหญ่แล้วมาเยือน
จงเอ่าเดินเข้ามาคารวะเสี่ยวเฉียว ก่อนจะยืดกายตรงแล้วกล่าว “ท่านโหวกลับมาแล้ว กำหนดการแต่งงานคือวันพรุ่งนี้ บ่าวจึงมาแจ้งนายหญิงเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ” จบคำนางก็ค้อมกายอีกครั้งแล้วหันหน้าจากไป
เว่ยเซ่าเพิ่งกลับมาหยกๆ ตอนนี้กลับประกาศลงมาว่าพิธีแต่งงานจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้!
นี่ไม่เร็วไปหน่อยหรือ!
ชั่วขณะเสี่ยวเฉียวไม่อาจแสดงอาการรับรู้ต่อเหตุการณ์นี้ได้ทัน ขณะที่นางยังตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น ชุนเหนียงกับสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นระรื่นทันตาเห็น พากันเรียงลำดับมาคุกเข่าคำนับแสดงความยินดี
เสี่ยวเฉียวเข้าใจความคิดของพวกนางดี ในเมื่อตัวนางมาถึงที่นี่แล้ว สิ่งที่คอยอยู่ก็คือพิธีแต่งงานนี่เอง มีเพียงพิธีการนี้นางถึงจะกลายเป็นสะใภ้สกุลเว่ย…ภรรยาของเว่ยเซ่าอย่างแท้จริง หากว่าขาดขั้นตอนนี้ไป ต่อให้ก่อนหน้านี้ผ่านพิธีรีตองมามากเพียงใด แต่จนแล้วจนรอดฐานะของนางก็จะยังอยู่แค่ครึ่งๆ กลางๆ ได้แต่ถูกแขวนให้ประดักประเดิดอยู่เช่นนี้ต่อไป
ฉะนั้นเมื่อได้ยินข่าวนี้พวกนางย่อมเบาใจ
เสี่ยวเฉียวใบหน้าเปื้อนยิ้มขณะรับการแสดงความยินดีจากพวกนางทีละคน ทั้งที่ในใจยากจะบรรยายความรู้สึกได้หมดสิ้น
พิธีแต่งงานจวนจะเกิดขึ้นอยู่รอมร่อ ไม่มีปัญหาใดเข้ามาแทรกอีกแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการก็หมายความว่านับจากนี้ไป…ชะตาของนางจะต้องผูกติดอยู่กับบุรุษนามเว่ยเซ่าผู้นี้
เขาจะเป็นเหมือนชาติก่อนที่นางล่วงรู้มา ด้วยการใช้วิธีที่เคยกระทำกับต้าเฉียวมากระทำกับนางหรือไม่
ถ้าหากใช่…นางควรทำตัวเช่นไรดี
คำถามนี้ตั้งแต่วันแรกที่นางออกเดินทางมาจากมณฑลเหยี่ยนโจว นางก็เริ่มคิดกลับไปกลับมาอยู่ภายในใจแล้ว ทว่าจวบจนบัดนี้นางก็ยังคงคิดไม่ตก
ความยินดีของชุนเหนียงนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะไม่ช้านางก็รู้ว่าพิธีแต่งงานนี้ผิดไปจากความคาดหวังของนางอย่างสิ้นเชิง พิธีนี้ไม่มีความรอบคอบรัดกุมและความใหญ่โตโอ่อ่าของพิธีแต่งงานที่ธิดาเจ้าเมืองพึงคู่ควรจะได้รับสักนิด
คิดดูอีกทีก็น่าจะเป็นเช่นนี้อยู่หรอก เวลาเพียงชั่วข้ามคืนจะให้ไปเตรียมการสิ่งใดออกมาได้อีก
ชุนเหนียงข่มกลั้นความปวดร้าวภายในใจ ไม่กล้าเผยความรู้สึกออกมาต่อหน้าเสี่ยวเฉียว เกรงแต่จะทำให้นางต้องเสียใจตามไปด้วย ชุนเหนียงปรนนิบัติเสี่ยวเฉียวชำระร่างกาย พลางรายงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่าพิธีแต่งงานจะจัดขึ้นที่โถงเสาหยาง แขกทรงเกียรติจำนวนมากจะมาเข้าร่วมพิธี สิ่งสำคัญที่สุดคือ…เว่ยโหวผู้ที่หนุ่มแน่นและหล่อเหลา ทั้งยังเฉียบขาดห้าวหาญ หญิงสาวในเมืองที่เพียงแค่เหลือบเห็นเขาแต่ไกลก็ตกหลุมรักในทันทีนั้นมีมากจนไม่อาจนับจำนวนได้ ชุนเหนียงยังสืบได้ข่าวมาอีกว่าดูเหมือนข้างกายเขาจะไม่มีอนุคนโปรดแต่อย่างใด
“นายหญิงงดงามถึงเพียงนี้ เว่ยโหวจะไม่รักใคร่ได้อย่างไรกัน”
ชุนเหนียงใช้ขี้ผึ้งหอมที่มีกลิ่นฟุ้งจรุงทาลงบนผิวกายอันนิ่มนุ่มของสาวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายตาจรดบนเรือนร่างอันงดงามขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งเปี่ยมด้วยความชื่นชมและให้กำลังใจ
ภายใต้การปรนนิบัติของชุนเหนียงและสาวใช้ เสี่ยวเฉียวเริ่มต้นขั้นตอนที่เกิดขึ้นก่อนจากบ้านมาในวันนั้นซ้ำใหม่อีกครั้ง
ชำระร่างกายเสร็จ…สวมใส่อาภรณ์…หวีสางเรือนผม…และประทินโฉมแต่งเครื่องประดับ นางยืนดูตนเองอยู่เบื้องหน้าคันฉ่อง พิศมองเจ้าสาวที่สะท้อนตรงหน้าผู้มีเรือนผมหนานุ่มดุจปุยเมฆ งามละลานตาดั่งบุปผา จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองดูแปลกหน้าอยู่บ้าง
ตามจารีตโบราณสมัยราชวงศ์โจว อักษร ‘ฮุน’ ที่แปลว่าสมรสนั้น เดิมคืออักษร ‘ฮุน’ ที่แปลว่าสนธยา
เมื่ออาทิตย์อัสดงคล้อยต่ำสู่ทิศตะวันตก หอถานไถภายในจวนซิ่นซึ่งเงียบเชียบมาช้านานก็จุดโคมสว่างไล่ระดับขึ้นจากฐานจรดยอด มองจากที่ไกลๆ คล้ายดั่งเจดีย์วิเศษที่ถูกวาดเค้าโครงขึ้นด้วยแสงประทีป ยิ่งแลดูสูงตระหง่าน
ผู้คนในเมืองแหงนศีรษะมองแล้วก็พากันแย่งกระจายข่าว…งานมงคลของท่านโหวก็คือราตรีนี้เอง
บนระเบียงทางเดินของโถงเสาหยางก็จุดแขวนโคมแดงขึ้นทีละดวงแล้วเช่นกัน ภายในโถงอันใหญ่โต แสงไฟสว่างโชติช่วงดุจกลางวัน ตรงกลางตั้งโต๊ะยาวขนาดใหญ่ซึ่งลงรักเดินลายทองไว้หนึ่งตัว ด้านบนจัดวางเครื่องเซ่นไหว้ในพิธีแต่งงานอย่างเป็นระเบียบ อันได้แก่ ข้าวสู่และจี้* เนื้อสัตว์ ผักดอง เนื้อสับ และน้ำแกงเนื้อ แขกเหรื่อผู้มาเข้าร่วมพิธีต่างก็แต่งกายด้วยชุดสุภาพเรียบร้อย นั่งคุกเข่าตามลำดับบนตั่งเตี้ยซึ่งจัดวางไว้เบื้องหลังโต๊ะ พวกเขาสนทนาด้วยเสียงอันเบากับผู้ที่นั่งอยู่ข้างกาย ขณะที่กำลังรอคอยให้ถึงฤกษ์มงคล
ในจำนวนคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นนายทหารและขุนนางบริวารที่ติดตามเว่ยเซ่ามาที่นี่ รวมไปถึงขุนนางท้องถิ่นของเมืองซิ่นตู พวกเขาเองก็เพิ่งรู้ข่าวงานมงคลนี้เมื่อช่วงกลางวันเช่นกัน แม้บางคนในกลุ่มพวกเขารับรู้มาก่อนว่าเว่ยเซ่ากำลังจะแต่งงานกับบุตรีสกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจว ทว่างานพิธีที่จัดขึ้นรวดเร็วปานนี้ยังคงทำให้พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดอยู่ดี อย่างไรเสียช่วงเวลานี้ของเมื่อคืนเว่ยเซ่าก็เพิ่งจะปลีกตัวกลับมาจากสนามรบที่เมืองป๋อหลิงนี้เอง
เกี่ยวกับเรื่องในอดีตระหว่างสกุลเว่ยและสกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวนั้น ผู้คนในที่นี้ส่วนใหญ่ล้วนเคยได้ยินได้ฟังมาแทบทั้งสิ้น เพราะเหตุนี้เองการดองญาติในอีกสิบปีต่อมาระหว่างเว่ยเซ่ากับหญิงสกุลเฉียวถึงยิ่งชวนให้ผู้อื่นจินตนาการเรื่องราวไปต่างๆ นานา และยิ่งบังเกิดความสนใจใคร่รู้ในตัวหญิงสกุลเฉียวผู้นี้ ต่างตั้งตาคอยการเผยโฉมของนางในอีกชั่วครู่ให้หลัง
รอจนถึงฤกษ์มงคลแล้ว เสี่ยวเฉียวก็เข้าสู่โถงพิธีจากทางตะวันตก
นางวางซ้อนมือทั้งสองเสมอท้อง ปรากฏกายต่อหน้าแขกเหรื่อพร้อมแขนเสื้อกว้างที่พลิ้วไหว โถงพิธีซึ่งเดิมทียังมีเสียงสนทนาแผ่วเบาก็พลันเงียบลง สายตาหลายคู่ล้วนมาหยุดลงบนร่างของนางโดยพร้อมเพรียง บ้างเพ่งพินิจ บ้างตกตะลึงในความงาม บ้างในใจแฝงความคิดแย่ๆ ซึ่งไม่อาจให้ผู้อื่นล่วงรู้
เสี่ยวเฉียวไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด นางเพียงหลุบเปลือกตาลงเล็กน้อย ทอดสายตามองพื้นเบื้องหน้าเท้าของตนเอง ท่ามกลางเสียงประกาศอันมีจังหวะของเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินพิธีการที่ดังมากระทบหู ภายใต้สายตาจับจ้องจากรอบทิศนี้ นางยังคงเดินมุ่งหน้าอย่างไม่ช้าไม่เร็วโดยมีผู้ติดตามสองคนคอยนำทาง จวบจนเดินมาถึงกลางโถงห่างจากเบื้องหน้าโต๊ะยาวตัวนั้นไม่กี่เชียะแล้วจึงหยุดฝีเท้า
ฝั่งตรงข้ามของนางมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่
นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงสายตาคู่นั้นที่ส่งมาจากอีกฝ่าย สายตานั้นต่างจากสายตาของผู้คนรอบข้างที่นางสามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มผู้นี้จ้องตรงมาที่นางโดยไม่หลีกเลี่ยงแม้แต่น้อย พร้อมกับแรงคุกคามชนิดหนึ่งซึ่งยากที่นางจะเอ่ยถึงได้
ผิวกายใต้อาภรณ์หลายชั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงแรงคุกคามชนิดนี้ รูขุมขนทั่วร่างค่อยๆ ขยายตัว เส้นขนแต่ละเส้นคล้ายลุกชันขึ้นทั้งหมด
สาวน้อยรู้สึกได้ถึงไอเย็นบางเบา
นางช้อนตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะสบเข้ากับสายตาของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นั้น
เว่ยเซ่ายังหนุ่มแน่นยิ่ง ทว่าเมื่อเปรียบกับนาง เขาก็ถือเป็นบุรุษเต็มตัวอย่างแท้จริงแล้ว บ่าไหล่ผายกว้าง รูปกายสูงสง่า เมื่อทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากันเช่นนี้ เสี่ยวเฉียวก็ยิ่งถูกเขากดข่มให้นางดูตัวเล็กเปราะบางมากขึ้น จนถึงขั้นไม่อาจแหงนศีรษะขึ้นเพียงเล็กน้อย นางต้องแหงนศีรษะขึ้นมากกว่าจะประสานกับสายตาของเขาที่เพ่งตรงมาได้
ดังเช่นคำบอกเล่าของชุนเหนียง เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ดูองอาจอย่างยิ่ง บนร่างยามนี้สวมชุดเหมี่ยนฝู ท่อนบนสีดำเข้ม ท่อนล่างสีแสดแดง ปักลายมังกรภูผาเก้าภาพสัญลักษณ์ตามแบบชุดพิธีการของเจ้าศักดินา สีดำตัดแดงนั้นแผ่กลิ่นอายความสุขุมน่าเกรงขามออกมาปะทะใบหน้า ท่ามกลางเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินพิธีการ เขามองดูเสี่ยวเฉียวที่อยู่ห่างไปเพียงหนึ่งช่วงแขน สองตาไม่กะพริบสักนิด แววตาอึมครึมประดุจความมืดมิดในส่วนลึกที่สุดของรัตติกาล
สิ้นเสียงร้องประกาศของเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินพิธีการ มีคนถือประคองผ้าแดงมาหนึ่งผืน วางปลายด้านหนึ่งในมือเสี่ยวเฉียวและวางปลายอีกด้านในมือเว่ยเซ่า บ่าวสาวจับผ้าแดงร่วมกัน เมื่อเดินมาจนถึงเบื้องหน้าโต๊ะยาวตัวนั้นแล้ว ผ้าแดงจึงค่อยถูกฉวยออกไป บ่าวสาวนั่งคุกเข่าตรงข้ามกันคนละด้านของโต๊ะ ก่อนจะเริ่มทำพิธีล้างมือ ร่วมกินเนื้อสัตว์ และร่วมดื่มสุราขม เรียงลำดับตามคำชี้แนะของเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินพิธีการ
หลังจบพิธีการช่วงต้นอันยาวนานและยิบย่อยนี้แล้วก็คือพิธีผูกเงื่อนผมอันเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่แสดงว่าพิธีสำเร็จเสร็จสิ้น
ผู้ติดตามบรรจงตัดปลายผมของบ่าวสาวคนละหนึ่งปอยมาผูกเข้าด้วยกัน ยามนี้ผู้คนรอบด้านล้วนยิ้มแย้มแช่มชื่น เสียงแสดงความยินดีดังมาไม่ขาดหู ทว่าเสี่ยวเฉียวกลับแลเห็นมุมปากของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากระตุกยกขึ้นบางๆ จนแทบไม่อาจสังเกตเห็น
หากนางมองไม่ผิด นี่คือรอยยิ้มซึ่งเผยความระอา ทั้งเจือไว้ด้วยอารมณ์ไม่อินังขังขอบอีกเล็กน้อย