ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 2 – หน้า 6 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 2

6 of 6หน้าถัดไป

เมื่อวานเพิ่งจะคว้าชัยที่เมืองป๋อหลิง พิชิตเฉินเสียงแห่งมณฑลปิงโจวที่มารุกรานได้อย่างงดงาม คืนนี้ยังได้ฉลองงานมงคลของท่านโหว ในค่ายทหารจึงล้มแพะฆ่าสุกร แหกกฎดื่มสุราซึ่งเป็นทั้งบำเหน็จศึกและสุรามงคลของท่านโหว

ทุกครั้งที่เดินทัพ เว่ยเซ่าจะกินอาหารร่วมหม้อ พักผ่อนร่วมกระโจมกับเหล่าทหารเสมอ หากตีเมืองชิงดินแดนก็จะคอยอยู่เบื้องหน้าพลทหาร ออกนำก่อนในทุกศึก ทว่าเขาก็ปกครองกองทัพด้วยวินัยอย่างเข้มงวดและคำสั่งอันเฉียบขาดเช่นกัน เหล่าทหารจึงทั้งเคารพและยำเกรงเขา ยามปกติมีโอกาสน้อยนักที่จะได้ดื่มสุราอย่างเต็มที่ ในเมื่อคืนนี้มีเรื่องมงคลซ้อนมงคลเช่นนี้ กองไฟในค่ายทหารซึ่งทอดยาวต่อเนื่องอยู่นอกเมืองจึงลุกโพลงเจิดจ้า ทุกแห่งหนล้วนได้ยินเสียงเพลงกังวานก้อง เมื่อดื่มสุรามาได้ครึ่งทางยังไม่ทันอิ่มหนำ เสียงโห่ร้องยินดีก็พลันดังมาจากเบื้องหน้า เหล่าทหารต่างกรูกันไปตรวจสอบ แลเห็นเว่ยเซ่าถึงกับออกจากเมืองมาที่ค่าย คารวะสุราต่อทหารด้วยตนเองเพื่อขอบคุณที่พวกเขาสู้ศึกอย่างห้าวหาญจนยึดเมืองป๋อหลิงคืนมาได้

กระทั่งคืนแต่งงานท่านโหวก็ยังไม่ลืมที่จะออกจากเมืองมาบำรุงขวัญทหาร บรรยากาศทั่วทั้งค่ายซึ่งตั้งกระโจมยาวต่อเนื่องพลันคึกคักฮึกเหิมถึงขีดสุด เหล่าทหารเข้ามารุมล้อมเขาชั้นแล้วชั้นเล่า แย่งกันคารวะสุราแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าว เว่ยเซ่าใบหน้าเปื้อนยิ้ม อารมณ์ห้าวหาญพุ่งทะยานสูงถึงชั้นเมฆ เขาไม่ปฏิเสธผู้มาคารวะสุราเลยสักคน เว่ยเหลียงที่เดินทางมาพร้อมกันเกรงว่าเขาจะเมามายจนพลาดเรื่องการเข้าหอ จึงทั้งบอกปัดทั้งช่วยขวางแทนเว่ยเซ่าติดๆ กัน สุดท้ายถึงพาเขาปลีกตัวกลับเข้าเมืองมาได้

เพียงแต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดึกดื่นมากแล้ว

 

สิ่งแรกหลังเสร็จสิ้นพิธีการในห้องโถงนั้นเจ้าสาวจะถูกส่งตัวมายังห้องหอซึ่งจัดเตรียมไว้ในเรือนเซ่อหยางอันเป็นที่พำนักของเว่ยเซ่าในยามปกติ หลังรับการปรนนิบัติลบเครื่องประทินโฉมและเปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกออกแล้ว เสี่ยวเฉียวก็ให้ชุนเหนียงกับเหล่าสาวใช้ออกไป สาวใช้ทั้งหลายเดินเรียงแถวออกไปตามคำสั่ง เหลือเพียงชุนเหนียงเป็นคนสุดท้ายที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น รีรอไม่ยอมจากไป

ยามนี้เทียนมงคลในห้องหอจุดสว่าง เดิมทีก็น่าจะเป็นภาพอันงดงามและช่วงเวลาที่น่าประทับใจ ทว่ากลับดูคล้ายว่ายังขาดความสมบูรณ์อยู่ ชุนเหนียงนึกถึงเว่ยเซ่าที่ตนลอบสังเกตดูเมื่อครู่ก่อนนี้ เขามีรูปกายสูงกำยำ กำลังวังชาเปี่ยมล้น ผิดกับธิดาเจ้าเมืองผู้มีเรือนร่างเปราะบาง เกรงว่าต้นขาของนางอาจยังเล็กกว่าแขนที่เขายื่นออกมาด้วยซ้ำ ประกอบกับเสี่ยวเฉียวเพิ่งจะถึงวัยเข้าพิธีปักปิ่น กลัวเหลือเกินว่าเว่ยเซ่าจะเป็นคนป่าเถื่อนโหดร้าย หากกระทำการอย่างหยาบคาย เกรงจะทำให้นางต้องทนทุกข์ ชุนเหนียงจึงยิ่งไม่อาจวางใจลงได้

แม้เป็นเพียงบ่าว แต่ชุนเหนียงก็เป็นเสมือนมารดาด้วยครึ่งหนึ่ง เมื่อเสี่ยวเฉียวเห็นอีกฝ่ายมองตนอย่างอึกอัก ความวิตกกังวลเกลื่อนใบหน้าแล้ว นางจึงเป็นฝ่ายเดินตรงไปปลอบโยน

ชุนเหนียงพยายามเผยสีหน้าแช่มชื่นขณะประชิดมาที่ข้างหูของเสี่ยวเฉียว กำชับกำชาว่าอีกประเดี๋ยวยามที่เว่ยโหวเข้าห้องหอมาปฏิบัติตามพิธีการของโจวกง อย่าได้ลืมปรนนิบัติอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่บอบบางอ่อนแอ กระตุ้นให้เขารู้สึกเอ็นดู โดยทั่วไปหากบุรุษบังเกิดความเอ็นดูแล้วย่อมจะปฏิบัติอย่างอ่อนโยน

“อย่าได้อวดเก่งเป็นอันขาด จำไว้นะเจ้าคะ จำไว้ให้มั่น!”

ได้ยินชุนเหนียงกำชับย้ำแล้วย้ำอีกเช่นนี้ เสี่ยวเฉียวจึงค่อยเข้าใจสาเหตุที่เมื่อครู่อีกฝ่ายรีรอไม่ยอมจากไป แม้ตนได้เกิดเป็นคนมาถึงสองชาติภพ แต่เป็นเพราะประสบการณ์ในด้านนี้น้อยนิด ฟังจบแล้วผิวหน้าจึงยังคงแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ ผงกศีรษะรับเป็นพัลวัน

ตอนนี้ชุนเหนียงถึงได้คลายมือนาง เดินออกจากห้องหอไปหนึ่งก้าวก็ยังหันกลับมามองอีกสามหน

สุดท้ายในห้องหอก็เหลือแต่เสี่ยวเฉียวที่รอคอยการมาถึงของเจ้าบ่าวเว่ยเซ่าเพียงลำพัง

นี่คือห้องนอนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่กว้างใหญ่ห้องหนึ่ง ทางเข้าจัดวางฉากบังลมขนาดหกบานพับซึ่งมีความสูงเลยศีรษะ พื้นฉากเป็นสีแดงชาดเขียนลายมังกรเมฆาลงรักเคลือบเงา กั้นแบ่งห้องนอนออกเป็นห้องชั้นนอกและชั้นใน ด้านข้างของฉากบังลมจัดวางเตียงหลังใหญ่ บนเตียงปูเครื่องนอนใหม่เอี่ยมสีแดง หมอนผ้าห่มวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนบนของม่านมุ้งด้านหนึ่งแขวนแผ่นหยกกลมลายเมล็ดข้าวไว้หนึ่งคู่ ทั้งเป็นเครื่องตกแต่งและถือเป็นเครื่องรางมงคลของห้องหอ บนพื้นฝั่งตรงข้ามวางตั่งเตี้ยทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไว้หนึ่งตัวสำหรับนั่งเล่น ด้านบนปูด้วยเบาะนุ่ม ตรงกลางวางโต๊ะหนึ่งตัว หีบใส่ของและตู้ที่เหลือต่างถูกจัดวางชิดเข้าผนัง บนเชิงเทียนจุดเทียนแดงหนึ่งคู่ขนาดเท่าลำแขนเด็ก นอกจากนี้แล้วในห้องก็ไม่มีเครื่องตกแต่งอื่นที่เกินจำเป็นอีก

เสี่ยวเฉียวพิจารณาห้องหอเสร็จก็ยืนอยู่กลางห้อง นางเหม่อมองเทียนแดงคู่นั้น อาจเพราะได้รับผลกระทบจากคำกำชับเมื่อครู่ของชุนเหนียง เหม่อลอยไปได้สักพัก เสี่ยวเฉียวซึ่งเดิมทีไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว

หลายปีต่อจากนี้ของเสี่ยวเฉียวในชาติก่อนนั้นเคยลอบมาพบหน้าต้าเฉียวญาติผู้พี่เป็นครั้งสุดท้าย เวลานั้นเว่ยเซ่าใกล้จะสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แล้ว ข้างกายเขามีสตรีอยู่อีกนางหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นที่โปรดปรานยิ่งนัก ส่วนต้าเฉียวแม้ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของเขา แต่เว่ยเซ่ากลับปฏิบัติต่อนางอย่างไม่สนใจไยดี ปล่อยนางไปตามยถากรรมนานแล้ว

การพบหน้ากันในครั้งนั้นเสี่ยวเฉียวถึงได้รู้ว่า…ที่แท้นับแต่วันแรกที่ต้าเฉียวแต่งงานกับเว่ยเซ่า เขาก็ไม่เคยแตะต้องนางแม้เพียงปลายก้อย

ถึงแม้ต้าเฉียวจะไม่เลอโฉมเท่าเสี่ยวเฉียว หากก็ถือเป็นโฉมสะคราญชวนถนอมที่น้อยนักจะได้พบพาน แต่นี่เว่ยเซ่าถึงกับไม่แม้แต่จะสัมผัสหญิงงามที่เข้าพิธีเป็นภรรยาของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าความเคียดแค้นชิงชังที่เขามีต่อสกุลเฉียวนั้นมากถึงขั้นใด ในเมื่อเคียดแค้นชิงชังถึงขั้นนี้ ทว่าก็ยังตกลงที่จะเกี่ยวดองแต่งงานกับหญิงสกุลเฉียว ความลุ่มลึกของจิตใจและความสามารถในการอดกลั้นของเขาล้วนมิใช่ระดับที่คนทั่วไปจะสามารถกระทำได้จริงๆ

เนื่องจากมีความทรงจำเช่นนี้เข้ามาในความคิดก่อนแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงรู้สึกว่าคืนนี้เว่ยเซ่าผู้นั้นคงจะไม่แตะต้องนางเช่นกัน ทว่าขอเพียงเหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องใดก็มีความไม่แน่นอนทั้งสิ้น

แต่ถ้าหากผิดคาดเล่า…

สุดท้ายเขายังคงเข้าหอกับนางตามปกติ สังเกตจากรูปร่างและน้ำหนักตัวของเขาแล้ว ขืนโถมตัวลงมาแรงหน่อย ไม่แน่อาจทับนางจนกระอักเลือดก็เป็นได้ หรือว่าหากเขาหงุดหงิดหัวเสีย…ซึ่งจุดนี้เป็นไปได้สูงมาก แล้วระเบิดสัญชาตญาณดิบออกมา ร่างกายของนางซึ่งในสายตาของผู้คนยุคนี้เห็นว่าเหมาะควรที่จะแต่งงาน ทั้งที่จริงยังต้องรออีกสองวันถึงจะฝืนนับซวีซุ่ย ได้ครบสิบห้าปีนั้น เกรงว่าคงมิอาจรับไหว

กระนั้นนางเองก็ไม่อาจจินตนาการได้อีกเช่นกันว่าหากตนจะต้องทำเช่นที่ชุนเหนียงกำชับมาด้วยการใช้อ่อนสยบแข็งอันใดนั่นอยู่ใต้ร่างของเขาขณะทำเรื่องอย่างว่านั้นจะเป็นเช่นไร แม้เสี่ยวเฉียวในชาติก่อนจะเคยแต่งงานกับหลิวเหยี่ยนมาแล้ว ทว่าสำหรับตัวนางเอง ต่อให้ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงที่ประสบมากับตัวสักนิด

เสี่ยวเฉียวยิ่งคิดก็ยิ่งลนลาน สุดท้ายตั้งสติได้แล้วจึงไปนั่งใจลอยต่อบนตั่งเตี้ยที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงใหญ่

ยามที่เพิ่งข้ามมิติมาอยู่ที่นี่ นางไม่คุ้นเคยกับท่านั่งของผู้คนยุคนี้เอาเสียเลย ในยุคนี้เก้าอี้และม้านั่งที่มีขาสูงยังคงปรากฏให้เห็นเฉพาะในกลุ่มชนชาวหู ทางเหนือเท่านั้น การนั่งห้อยขาถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมอันหยาบคายไร้มารยาท ยามที่นางนั่งลงต่อหน้าผู้อื่นจึงได้แต่รักษาอิริยาบถเพียงสองแบบ คือวางสะโพกลงบนส้นเท้าในท่านั่งคุกเข่าอันเป็นท่านั่งยามปกติที่นับได้ว่าค่อนข้างผ่อนคลาย หรือไม่ก็ยกสะโพกขึ้น ยืดลำตัวตรงในท่าคุกเข่าที่เรียกอีกชื่อว่าคุกเข่ากึ่งนั่ง อิริยาบถนี้เป็นท่านั่งเมื่อเตรียมตัวจะลุกยืนหรือเมื่อต้อนรับแขกเพื่อแสดงออกว่าให้เกียรติต่อผู้อื่น

แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านั่งแบบใด เสี่ยวเฉียวล้วนไม่อาจนั่งอยู่ได้นาน ยิ่งไม่มีทางเป็นอย่างชุนเหนียงที่สามารถนั่งเย็บปักถักร้อยเป็นชั่วยาม* ได้โดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยนิด เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ออกเรือน ขอเพียงรอบข้างไร้คนนอกอยู่ นางมักยอมถูกชุนเหนียงตำหนิว่าไม่งาม เปลี่ยนมานั่งยืดเท้าเหยียดตรงเพื่อผ่อนคลายสองขาอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้จวบจนบัดนี้แล้วนางก็ยังฝึกปรือฝีมือในการนั่งคุกเข่านานๆ ไม่สำเร็จเสียที

เสี่ยวเฉียวนั่งสงบเสงี่ยมบนตั่งมาเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นเว่ยเซ่ากลับมา อีกทั้งเบื้องนอกก็เงียบเชียบไม่ได้ยินเสียงใดๆ นางจึงเหยียดขาตรง คว้าหีบจากด้านข้างมาพิงกาย ผ่อนคลายแขนขากึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนตั่งไปอย่างนี้

ภายในห้องผิดกับเบื้องนอกที่หนาวยะเยือกลิบลับ กระถางไฟในห้องยามนี้กำลังลุกโชติช่วงส่งไออุ่นพร้อมกลิ่นกำยานอ่อนๆ ลอยละล่องมาในอากาศ เป็นเพราะเมื่อคืนหลับไม่สนิท วันนี้ก็ถูกเคี่ยวกรำมาตลอดทั้งวัน ความง่วงงุนจึงเข้าจู่โจมเสี่ยวเฉียวทีละน้อย ขณะที่สะลึมสะลือจวนจะหลับใหลอยู่แล้วนั้น เสียงความเคลื่อนไหวก็ดังมากระทบหู

มีคนมาแล้ว ถัดจากนั้นนางก็ได้ยินสาวใช้เบื้องนอกขานว่า “นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

‘นายท่าน’ คือคำที่บ่าวในเรือนใช้เรียกยกย่องเจ้านายที่เป็นบุรุษ คู่กับคำว่า ‘นายหญิง’

หนอนขี้เซาในตัวเสี่ยวเฉียวหนีหายไปทันใด นางขยี้ตาก่อนจะคลานพรวดขึ้นจากตั่ง เพิ่งกลับคืนสู่ท่านั่งคุกเข่าก็ได้ยินเสียงบานประตูถูกผลักเปิด นางเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเบื้องหลังฉากบังลมปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ไหววูบคล้ายทรงกายไม่มั่นคงจึงซวนเซไปหนึ่งที

เสี่ยวเฉียวตระหนกรีบยืดกายขึ้น ขณะเตรียมจะลงจากตั่งไปดูให้แน่ชัด เงาร่างของคนผู้นั้นก็ทรงกายได้อย่างมั่นคง เดินอ้อมฉากบังลมมาปรากฏตัวต่อหน้านางแล้ว

มิใช่เว่ยเซ่าแล้วจะเป็นผู้ใด

ดูเหมือนเขาจะดื่มสุรามาไม่น้อย ดวงหน้าซึ่งประกอบด้วยลายเส้นอันเคร่งขรึมเย็นชานั้นผุดสีแดงระเรื่อ พอเข้าห้องมาก็มุ่งตรงสู่ด้านใน ปลดเกี้ยวครอบมวยผมออกด้วยตนเองก่อนขว้างไปหน้าคันฉ่องโต๊ะเครื่องแป้งดังเคร้ง หันกายเดินมุ่งสู่เตียงขนาดใหญ่นั้นโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองเสี่ยวเฉียวที่ยังยืดลำตัวคุกเข่าอยู่บนตั่ง พอเขาเดินถึงเตียงก็เลิกม่านในคราวเดียว ส่งผลให้แผ่นหยกกลมกระทบกันบังเกิดเสียงกังวานใส

ถัดจากนั้นก็มีเสียงตุบดังขึ้นอีกสองครั้ง เมื่อรองเท้าหุ้มข้อร่วงสู่พื้น ภายในห้องก็เงียบเชียบลง

เสี่ยวเฉียวเห็นเขาเดินตรงขึ้นเตียงไป ทันทีที่ล้มตัวลงนอนแล้วก็คล้ายเข้าสู่ห้วงนิทราในพริบตาเดียว แผ่นหลังของนางซึ่งเดิมทีเกร็งเล็กน้อยจึงผ่อนคลายลงในที่สุด

นางระบายลมหายใจ สองตาจับจ้องเว่ยเซ่าที่อยู่บนเตียงขณะค่อยๆ วางสะโพกลงบนส้นเท้าตามเดิม

เขาคงหลับใหลไปแล้วจริงๆ หรือบางทีอาจเป็นอาการเมาสุรา

เนิ่นนานให้หลังเสี่ยวเฉียวจึงค่อยๆ เหยียดสองขาออกอีกครั้ง กำมือเป็นหมัดทุบขาที่ปวดเมื่อยเบาๆ กลับคืนสู่ท่ากึ่งนั่งกึ่งเอนอย่างเมื่อครู่ก่อน

เช่นนี้เองคนหนึ่งจึงนอนอยู่บนเตียง อีกคนก็เอนอยู่บนตั่ง ต่างคนต่างอยู่โดยสงบ

นอกจากกลิ่นกำยานที่มีอยู่แต่เดิม อากาศภายในห้องยังเริ่มเจือด้วยกลิ่นสุราที่แผ่ซ่านมาจากร่างของเว่ยเซ่าด้วย เมื่อสูดดมนานเข้าก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นนั้นแล้ว แต่นางกลับถูกกลิ่นนั้นรมจนมึนศีรษะอยู่บ้าง

ยามนี้ดึกดื่นมากแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงกึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนตั่งในท่าทางนี้ ประเดี๋ยวเคลิ้มม่อยหลับไป ประเดี๋ยวพลันสะดุ้งตื่นลืมตาโพลง ครั้นแลเห็นว่าเว่ยเซ่ายังคงนอนอยู่บนเตียงในท่าเดิม จิตใจจึงค่อยผ่อนคลายลงแล้วม่อยหลับไปอีกครา สลับไปมาเช่นนี้อยู่หลายหน จวบจนครั้งสุดท้ายที่นางสะดุ้งตื่นเพราะถูกแช่เย็นจนได้สติ

นอกหน้าต่างยังคงมืดมิด ดูจากความยาวส่วนที่เหลือของเทียนมงคลที่ยังเผาไหม้อยู่บนเชิงเทียน ยามนี้น่าจะเกือบยามโฉ่ว แล้ว ถ่านแดงในกระถางไฟใกล้จะเหลือแต่ขี้เถ้าสีขาว แผ่ซ่านไออุ่นที่ยังหลงเหลือออกมาเพียงบางเบา เมื่อในห้องเย็นลง ไอหนาวเบื้องนอกก็แทรกซึมเข้ามา

เสี่ยวเฉียวเหน็บหนาวไปทั้งร่าง ยกสองมือขึ้นกอดอก ลูบแขนสองข้างที่ถูกแช่เย็นจนผิวเริ่มกลายเป็นหนังไก่ คาดว่าต้องอีกพักใหญ่กว่าฟ้าจะสาง นางจับตามองเว่ยเซ่าที่อยู่บนเตียง เนิ่นนานเห็นเขาไม่ขยับตัวสักนิด ลังเลอยู่ชั่วครู่นางก็ตัดสินใจลงจากตั่งในที่สุด เดินมุ่งไปใกล้เตียงอย่างเบามือเบาเท้า

ตามธรรมเนียมในห้องนอนของชนชั้นสูงยุคนี้ ไม่ว่าสามีภรรยาจะนอนร่วมผ้าห่มผืนเดียวกันหรือไม่ บนเตียงจะจัดวางผ้าห่มไว้สองผืนเสมอ

เว่ยเซ่านอนอยู่ด้านนอกของเตียงและไม่ได้ห่มผ้า ยามนี้ผ้าห่มทั้งสองผืนจึงยังวางพับเป็นระเบียบอยู่ด้านในของเตียง

เสี่ยวเฉียวแทบไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงใดๆ ในที่สุดนางก็เดินไปถึงปลายเตียง หยุดอยู่เบื้องหน้าเท้าของเว่ยเซ่า

สาวน้อยลอบมองเขาอีกครั้ง

ชายหนุ่มยังคงนอนหงาย สีแดงเรื่อจากฤทธิ์สุราที่ฉาบใบหน้ายามเพิ่งเข้าห้องมาตอนครึ่งคืนแรกได้เลือนหายไปสิ้นแล้ว อาจเพราะมุมเตียงไฟส่องลงมาไม่ถึง แสงค่อนข้างสลัวจึงทำให้สีหน้าของเขาแลดูสงบผิดจากยามปกติ และส่งผลให้คิ้วดกดำที่คมดุจกระบี่คู่นั้นยิ่งดูสะดุดตา สองตาใต้คิ้วคมคู่นั้นปิดสนิทขณะที่เขายังคงหลับลึก

เสี่ยวเฉียวกลั้นลมหายใจ พยายามโน้มกายไปเบื้องหน้าให้ช้าที่สุด รอจนร่างกายผ่านเลยขาของเขาไปแล้ว มือข้างหนึ่งก็เหยียดเอื้อมออกไปหมายหยิบผ้าห่มผืนที่อยู่ใกล้ตนที่สุดออกมา จู่ๆ เว่ยเซ่าที่อยู่ใต้ร่างก็รู้สึกตัวตื่น เขาลืมตาขึ้นโดยปราศจากเค้าลางใดๆ จากนั้นริมหูก็ได้ยินเสียงกระบี่ถูกดึงออกจากฝักดังเช้ง ขณะที่นางยังไม่ทันตอบสนองอะไร เว่ยเซ่าก็ได้ชักกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากใต้หมอนอย่างรวดเร็ว พลางพลิกกายลงจากเตียงพร้อมจรดปลายกระบี่แนบเข้ามาที่ข้างลำคอของนางแล้ว

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบเท่านั้น

เสี่ยวเฉียวตัวแข็งทื่อในทันที นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงกระไอหนาวยะเยือกที่แทรกซึมเข้ามาเมื่อคมกระบี่แนบกับผิวเนื้อบนลำคอของตน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากไอหนาวในอากาศโดยสิ้นเชิง

นางถึงกับสูดได้กลิ่นหวานปนสนิมจางๆ

เสี่ยวเฉียวรู้ว่านี่คือกลิ่นของโลหิต

นางค่อยๆ หันหน้ามาสบกับดวงตาของเขา

ในนั้นยังคงมีเส้นเลือดสีแดงที่เล็กละเอียดกระจายตัวอยู่ ทั้งยังแผ่ซ่านรังสีเข่นฆ่าอันบางเบาออกมา

“ข้ารู้สึกหนาวอยู่บ้าง เมื่อครู่เพียงคิดหยิบผ้าห่มมาเท่านั้น ไม่คาดว่าจะรบกวนท่าน” นางกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่ฟังดูเยือกเย็น ทั้งที่นางแน่ใจว่าตนไม่ได้แตะถูกเขาเลยสักนิดจริงๆ

เว่ยเซ่าเพ่งมองนางชั่วอึดใจ ก่อนเบือนหน้าเหลียวมองห้องซึ่งถูกตกแต่งเป็นสีแดงไปทั่ว ชายหนุ่มคล้ายเพิ่งตระหนักอะไรขึ้นได้ เขาหลับตายกมืออีกข้างขึ้นนวดหน้าผาก ค่อยๆ ลดกระบี่ลงในที่สุด ก่อนที่สายตาจะย้อนกลับมาจับนิ่งบนดวงหน้าของเสี่ยวเฉียวโดยไม่ละวาง

คงเพราะแสงเทียนด้านข้างฉายส่องมาพอดี ดวงตาของเขาจึงคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมดำ ดูแวววาวโปร่งใสนิดๆ ประหนึ่งสีของอำพัน

ถูกเพ่งพิศด้วยนัยน์ตาที่มีลักษณะเช่นนี้ เสี่ยวเฉียวก็เกร็งไปทั้งร่าง นางไม่กล้าขยับร่างกายส่งเดช ดวงตาคู่งามเบิกกลมตามสัญชาตญาณ สบตากับเขาอย่างตกเป็นรอง

กระแสลมสายหนึ่งไม่รู้ว่าเล็ดลอดเข้ามาจากช่องมุมใด แสงเทียนพลันไหวระริกแผ่วเบา ส่งผลให้เงาเทียนซึ่งทาบทอบนดวงหน้าด้านข้างของเสี่ยวเฉียวพลอยสั่นไหวไปเล็กน้อย

เว่ยเซ่าพลันได้สติคืนมา เขาขยับหัวไหล่เล็กน้อยก็สามารถสอดกระบี่คืนฝักเสียงดังฉับได้โดยไม่ต้องก้มศีรษะมอง ก่อนจะวางกระบี่ลงบนเตียง แล้วนั่งบนขอบเตียงก้มหน้าค้อมเอว สวมรองเท้าหุ้มข้อเสร็จก็คว้ากระบี่ลุกขึ้นก้าวยาวๆ มุ่งหน้าสู่เบื้องนอก

เสี่ยวเฉียวมองส่งเงาหลังของเขาพลางระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

ทว่าเว่ยเซ่าเดินไปถึงข้างฉากบังลมก็กลับชะงักฝีเท้าแล้วหันหน้ากลับมาเสียได้

ลมหายใจที่ยังไม่ทันระบายออกจนสุดจึงถูกนางกลั้นไว้ในอกทันที

“เจ้าไม่เหมาะจะรั้งอยู่ที่นี่ รุ่งเช้าข้าจะให้คนส่งเจ้ากลับเมืองอวี๋หยาง”

ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ จบแล้วจึงหมุนกายเดินต่อ เงาร่างของเขาอ้อมผ่านฉากบังลมตามด้วยเสียงเปิดประตูดังแอ๊ด จากนั้นเสียงฝีเท้าก็เคลื่อนไกลออกไปตามลำดับ จนสุดท้ายเงียบหายไปจากหูของนางโดยสิ้นเชิง

ในที่สุดเสี่ยวเฉียวก็ได้ระบายลมหายใจนั้นจนสุด ยามที่นางยึดจับขอบเตียงนั่งลงไปช้าๆ พบว่ามือของตนถึงกับสั่นเทิ้มน้อยๆ ขณะที่เหงื่อเย็นก็หลั่งออกมาชุ่มแผ่นหลังจนเสื้อตัวในแนบติดผิวกาย หนาวสะท้านชวนไม่สบายตัวอย่างยิ่ง

6 of 6หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com