บทที่ 7
ตอนที่เซียวฉางหนิงรุดไปถึงโถงชั้นหน้า เสิ่นเสวียนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ยกขาขวาขึ้น มือขวาวางบนหัวเข่าตามใจ ท่าทางมีอำนาจและเย่อหยิ่ง หลังเสิ่นเสวียนรับรู้ได้ว่าเซียวฉางหนิงเกาะประตูอย่างลังเลใจ เขาก็ไม่ได้ช้อนตาขึ้นมา เพียงพูดเสียงเข้มว่า “สำนักบูรพากินอาหารเช้าตรงเวลาตอนยามเฉิน ตอนนี้ยามเฉินหนึ่งเค่อแล้ว”
นี่เขากำลังเตือนว่านางมาสายแล้ว
สีหน้าของเสิ่นเสวียนเรียบนิ่งมองไม่ออกถึงความรู้สึก เซียวฉางหนิงขยับเข้าห้องไปอย่างช้าๆ แล้วมองไปโดยรอบ พบว่าภายในห้องไม่มีโต๊ะอาหารอื่นให้นางใช้ได้
คงไม่ถึงกับให้ข้ายืนกินอาหารกระมัง หรือว่านี่จะอาศัย ‘งานเลี้ยงหงเหมิน’ เพื่อขจัดความหยิ่งผยองของข้า
เซียวฉางหนิงในสมองว้าวุ่น อดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดอะไรเหลวไหล
เสิ่นเสวียนราวกับมองออกถึงความคิดในใจนาง จึงช้อนดวงตาคมกริบลึกล้ำขึ้นมา แล้วใช้มือตบเบาๆ ที่เบาะนุ่มข้างกาย พูดว่า “มานี่ องค์หญิงใหญ่กับกระหม่อมเสวยอาหารโต๊ะเดียวกัน”
เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อเข้าปากเสือ!
เซียวฉางหนิงปฏิเสธข้อเสนอนี้จากใจจริง
ทว่าเสิ่นเสวียนสายตาเคร่งขรึม ในดวงตามีอำนาจที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ เซียวฉางหนิงขัดขืนอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายยังคงนั่งลงบนเบาะนุ่มข้างกายเสิ่นเสวียนที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงครึ่งช่วงไหล่อย่างหวาดหวั่น
ความกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออกนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น ราวกระแสน้ำซัด ราวใยไหมรัด
เสิ่นเสวียนไม่ได้พูดถึงความไร้มารยาทเลี่ยงไม่พบหน้าของนางเมื่อวาน เพียงแค่เชิดปลายคางเล็กน้อยแล้วพูดสั่งว่า “ยกอาหารมา”
ขันทีน้อยที่คอยปรนนิบัติยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว บนโต๊ะอาหารของทั้งสองมีกับข้าวสามอย่างโจ๊กหนึ่งถ้วย ไม่มีอะไรนอกจากเนื้อลาย่าง เนื้อแดดเดียวหั่นแผ่น น้ำแกงผักกาดขาว และโจ๊กเนื้อไก่ฉีก ที่เป็นอาหารพื้นบ้านทั่วไปก็ไม่มีอาหารอย่างอื่นอีก ความประณีตของอาหารเหล่านี้ยังห่างไกลจากของห้องเครื่องมากนัก
ทว่าบนโต๊ะฝั่งของเซียวฉางหนิงกลับมีขนมจินซือ* คู่กับต้มถั่วแดงเพิ่มขึ้นมาชุดหนึ่ง
เซียวฉางหนิงแอบช้อนตามองสำรวจ พบว่าบนโต๊ะฝั่งของเสิ่นเสวียนไม่มีขนมต้มหวานนี้ มีของนางเพียงชุดเดียว
เสิ่นเสวียนแอบซ่อนแผนการอะไรในของหวาน
ขนมจินซือ…เป็นคำเตือนหรือ
เซียวฉางหนิงทำตนเองตกใจกลัวจนเหงื่อผุด นางไม่ชินกับการกินธัญพืช ทั้งไม่ได้แตะต้องเนื้อลาย่าง เพียงใช้ช้อนหยกคนถ้วยโจ๊ก แล้วตักกินคำเล็ก ดวงตาจ้องมองไปที่ตัวของเสิ่นเสวียน แต่นางกลับมองไม่ค่อยออกถึงความคิดของขันทีผู้บัญชาการผู้นี้
กินโจ๊กเสร็จแล้วนางก็ใช้ช้อนเงินด้ามจับบางคันเล็กตัดขนมจินซืออย่างระมัดระวัง จากการสังเกตไม่พบว่าในนั้นซ่อนของประหลาดอะไรเอาไว้…
“ไม่ต้องดูแล้ว ไม่มีพิษ” เสิ่นเสวียนส่งเสียงพูดขึ้นทันใด
เซียวฉางหนิงที่ถูกมองออกถึงความในใจก็ตื่นตระหนกจนช้อนในมือสั่น ขนมเกือบจะกระเด็นออกไป นางหน้าแดงเรื่อ สายตาเลื่อนหนีด้วยความเก้อเขิน ส่งขนมหนึ่งช้อนเข้าปากเป็นการกลบเกลื่อน หลังขนมจินซือเข้าปากแล้วละลายทันทีแต่ยังทิ้งกลิ่นหอมไว้ตามไรฟัน นางอดใจไม่ไหวกินต่ออีกสองคำ ได้กินของอร่อยแล้วนางก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
เสิ่นเสวียนหันหน้ามองท่าทางตื่นเต้นของนาง คิ้วเข้มเรียวยาวถึงขมับเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่เสียงพูดกลับแฝงความสนุกที่ยากจะสังเกตได้ “องค์หญิงใหญ่ไม่มีอะไรอยากจะตรัสกับกระหม่อมหรือ”
สิ่งที่ควรมาถึงก็ย่อมต้องมาถึง เซียวฉางหนิงวางช้อนลง เม้มริมฝีปากแดงเบาๆ หันหน้าไปมองเสิ่นเสวียนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย “เมื่อวาน…ข้าผิดเอง”
เสิ่นเสวียนพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “อ้อ? องค์หญิงใหญ่ทรงผิดตรงที่ใดหรือ”
รู้แล้วยังจะถาม!