คฤหาสน์สกุลเจินตั้งอยู่บริเวณตะวันตกของเมือง อยู่ไม่ห่างจากจวนเว่ยกั๋วกงนัก ห่างกันเพียงแค่สองช่วงถนนเท่านั้น เดิมทีเป็นจวนส่วนตัวของขุนนางเมืองหลวงผู้หนึ่ง แต่เพราะถูกส่งไปทำงานต่างเมือง รวมเข้ากับที่เงินทองขาดมือ จึงขายจวนนี้ทิ้งเสีย สกุลเจินจึงซื้อเอาไว้แล้วนำมาใช้เพื่อจัดเตรียมเรื่องงานแต่งของบุตรสาว เมื่อหลายเดือนก่อนก็มีพ่อบ้านเดินทางมาล่วงหน้า จัดการเก็บกวาดทั้งในและนอกอย่างเรียบร้อยนานแล้ว
กลุ่มเมิ่งซื่อเข้าไปข้างในพร้อมกัน หลังพักผ่อนเล็กน้อยก็เปลี่ยนเสื้อผ้า นำบุตรชายบุตรสาวกลับไปนั่งบนรถม้าอีกครั้ง มุ่งหน้าไปเยี่ยมญาติยังจวนเว่ยกั๋วกงพร้อมกับของขวัญพบหน้า
ผู้เฒ่าเว่ยกั๋วกงเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบในการก่อตั้งต้าเว่ย ติดตามปฐมกษัตริย์ออกสู้รบไปทุกแห่ง ต่อสู้แย่งชิงดินแดนผืนนี้มาเพื่อลูกหลาน ประตูใหญ่ก่วงเลี่ยงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเว่ยกั๋วกงมีรูปปั้นพยัคฆ์วางแยกกันคนละฝั่งของบันได ไม้คานเคลือบชาดลงรัก ด้านบนประดับลายเมฆาที่เป็นการบ่งบอกถึงยศสูง ดูยิ่งใหญ่ ลักษณะมิสามัญ บ่งบอกถึงตำแหน่งอันสูงส่งของเจ้าบ้าน
ปกติแล้วประตูใหญ่จะไม่เปิดออก แม้แต่ยามนี้ก็ยังปิดสนิทอยู่ เปิดแค่ประตูข้างอีกบานที่ปกติใช้ในการเข้าออก บ่าวเฝ้าประตูจำนวนหนึ่งยืนประสานมืออยู่ตรงนั้น เห็นเผยซิวจื่อนำคนเดินมาตั้งแต่ไกลจึงวิ่งมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว หันไปคารวะเมิ่งซื่อที่ลงมาจากรถม้า ปากเอ่ยบ่น “ในที่สุดท่านก็มาถึง ทั้งฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองของพวกเราล้วนกำลังรออยู่ เมื่อครู่ยังส่งคนมาถามแล้ว รีบเข้าไปเถอะขอรับ”
เจินจยาฝูถอดผ้าปิดหน้าออกแล้ว มีสาวใช้ช่วยกันประคองนางลงจากรถม้า จากนั้นเผยซิวจื่อก็นำทางไป นางติดตามมารดาและพี่ชายเดินผ่านประตูข้างบานนั้นเข้าไปข้างใน ทะลุผ่านทางเดินและห้องต่างๆ สุดท้ายมาถึงยังเรือนใหญ่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประตูใหญ่เคลือบเงาเปิดแง้มออกครึ่งหนึ่ง นี่ก็คือที่พำนักของบ้านใหญ่จวนเว่ยกั๋วกง
ซินฮูหยินสวมชุดลำลองคลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีม่วงนั่งอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเอะอะของสาวใช้ดังขึ้นที่ลานด้านนอกก็รู้ว่าคนมาถึงแล้ว แต่นางยังคงไม่ลุกขึ้น เพียงยกมือขึ้นจัดจอนผมเล็กน้อย จวบจนได้ยินเสียงฝีเท้าผสานกับเสียงสดใสของเมิ่งซื่อดังเข้ามาใกล้ “ฮูหยินจากสกุลข้าอยู่ด้านในหรือ”
ในตอนนั้นซินฮูหยินถึงได้ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกภายใต้การประคองของสาวใช้ข้างกาย ที่ด้านหลังตามมาด้วยสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสอีกหกเจ็ดคน เมื่อได้พบเมิ่งซื่อก็ยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ เป็นข้าเอง!” เอ่ยจบก็ปล่อยสาวใช้ทิ้งไว้ รีบเดินเข้าไปเอง จับมือเมิ่งซื่ออย่างเป็นมิตร ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมถอนหายใจเอ่ย “เจ้าเองก็จริงๆ เลย เดินทางมาตั้งไกล จะต้องลำบากมากเป็นแน่ แทนที่จะให้เด็กๆ พักกันก่อน มาช้าสักหน่อยจะเป็นไรไป หรือว่าข้าจะกินเจ้ารึ” เอ่ยจบก็กล่าวตำหนิบุตรชายต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าสั่งเจ้าไว้อย่างไร แต่เจ้ากลับทำตัวรีบร้อน ไม่ให้ผู้อื่นเขาได้พักเสียหน่อย”
สาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่รอบข้างไม่มีผู้ใดไม่หัวเราะออกมา บ่าวหญิงอาวุโสข้างกายซินฮูหยินพูดออกมา “เมื่อครู่นี้ฮูหยินของพวกเราก็เอาแต่บ่นว่าพวกท่านเดินทางมาลำบากนัก รู้สึกปวดใจ ตอนนี้แม้แต่คุณชายรองยังถูกต่อว่าแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อรีบยิ้มเอ่ย “ไม่เหนื่อยหรอก ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว ข้าเองก็คิดถึงไม่น้อย วันนี้มาถึงจึงแทบอยากจะติดปีกบินมาหาไวๆ” เอ่ยจบก็ให้บุตรชายบุตรสาวเดินขึ้นหน้ามาคารวะ
เจินเย่าถิงประสานมือคารวะ เจินจยาฝูเองก็ยอบกายคารวะซินฮูหยิน