ซินฮูหยินมองประเมินเจินจยาฝูคราหนึ่ง ก่อนเดินเข้ามาจูงมือนางอย่างรักใคร่ ยิ้มเอ่ยกับเมิ่งซื่อ “หญิงสาวที่งดงามเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าเลี้ยงดูมาอย่างไร ข้ามักพูดอยู่เสมอว่าข้าไม่มีความโชคดีเช่นนี้ ถ้าหากมีบุตรสาวเช่นนี้อยู่สักคนก็คงมีผู้ที่สามารถพูดจาเอาใจใส่ผู้อื่นแล้ว”
เมิ่งซื่อมีความสุขเสมอเวลาบุตรสาวได้รับคำชม แต่ก็ยังต้องเอ่ยปากว่า “อาฝูยังเขลาอยู่บ้าง ทั้งไม่ประสีประสา แค่หวังว่าวันหน้าท่านจะไม่เบื่อหน่าย ข้าก็ต้องขอบคุณพระพุทธองค์แล้ว”
บ่าวหญิงอาวุโสข้างกายซินฮูหยินเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ฮูหยินของพวกเราจะรักถนอมยังแทบไม่ทัน เรื่องเบื่อหน่ายจะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
หลังพูดคุยถามไถ่กันอย่างเป็นมิตรสนิทสนมต่ออีกสักพัก เมิ่งซื่อก็ถูกเชิญไปนั่ง ขณะที่ซินฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามบ่าวหญิงอาวุโสข้างกายตนเอง “คนทางนั้นเหตุใดยังไม่มาอีก”
คำพูดเพิ่งจะเอ่ยออกมาก็ได้ยินเสียงสาวใช้นอกประตูดังเข้ามา “ฮูหยินรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!”
เมิ่งซื่อรีบลุกออกไปรับทันที
เจินจยาฝูเหลือบสายตาขึ้นมอง เห็นเมิ่งฮูหยิน ท่านป้าของตนเดินเข้ามาโดยมีสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสจำนวนหนึ่งล้อมหน้าล้อมหลัง เมิ่งฮูหยินยิ้มเอ่ย “เดิมทีเมื่อครู่นี้ก็อยากมาแต่แรก เพียงแต่คิดอยากรอให้เจ้าสามมาด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะส่งข่าวมาบอกว่าวันนี้ความเรียงที่เขียนได้รับคำชมจากท่านอาจารย์สำนักศึกษา ถูกรั้งตัวเอาไว้ไม่อาจกลับมาได้ บอกให้ข้าขออภัยแทนน้าหญิงและญาติผู้น้องของเขาด้วย รอกลับมาแล้วจะมาเจอกันอีกที”
บนใบหน้านางประดับรอยยิ้ม ท่าทีสนิทสนม ไม่เห็นถึงความแตกต่างอันใดกับตอนที่พบเจอก่อนหน้านี้
ความจริงแล้วแรกเริ่มสุดเป็นเมิ่งฮูหยินที่มีเจตนาอยากสู่ขอเจินจยาฝูให้เผยซิวลั่วผู้เป็นบุตรชายก่อน แต่ก็ยังคิดเล็กคิดน้อยกับฐานะของสกุลเจินอยู่บ้าง ตามความคิดของตนแล้ว จะดีที่สุดหากให้เจินจยาฝูมาเป็นอนุของบุตรชายตนเอง ลับหลังจึงลอบเอ่ยบอกเมิ่งซื่อเป็นนัยๆ เพื่อสืบดูความคิดของนาง แสดงท่าทีว่าภายหลังแต่งเข้ามาแล้วตนเองจะต้องดูแลเจินจยาฝูเหมือนบุตรสาวแน่นอน ไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายได้รับความไม่เป็นธรรมสักนิดเดียว
แต่เมิ่งซื่อจะยอมให้บุตรสาวของตนแต่งไปเป็นอนุได้อย่างไร ยามนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งยังไม่ต่อบทสนทนา เพียงเท่านั้นฮูหยินรองเองก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดขึ้นมาอีก เดิมทีก็ให้แล้วกันไปเช่นนั้น ไม่คิดว่าผ่านไปไม่นานคนจะถูกบ้านใหญ่เอาตัวไปแทน
เมิ่งซื่อรักถนอมบุตรสาว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เจินจยาฝูไปเป็นอนุของผู้อื่น ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นลูกหลานจวนเว่ยกั๋วกงก็ตาม แต่หลังซินฮูหยินส่งคนมาพูดเรื่องนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นนายของบ้านมาตลอดก็ตกปากรับคำทันที ตัวเมิ่งซื่อเองก็เคยใคร่ครวญมาก่อน แม้บุตรสาวจะแต่งไปเป็นภรรยาเอกคนใหม่ แต่เมื่อแต่งไปก็คือชายาซื่อจื่อจวนเว่ยกั๋วกงอย่างสง่าผ่าเผย บุตรชายที่คลอดออกมาย่อมเป็นผู้สืบทอดโดยตรง เป็นบุตรคนรองของบ้านใหญ่แล้วอย่างไร ไม่ว่าจะด้านนิสัยหรือรูปโฉมเขาก็ล้วนหาพบได้ยาก ไม่มีเหตุผลให้คัดค้านจริงๆ ดังนั้นงานแต่งงานจึงถูกกำหนดมาเช่นนี้
เดิมทีเมิ่งซื่อยังเป็นกังวลว่าการพบหน้ากันครั้งนี้ ไม่มากไม่น้อยก็คงมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ยามนี้เห็นท่าทีของเมิ่งฮูหยินยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน จึงคิดไปว่าในใจพี่สาวผู้นี้ไม่ได้ถือสาอะไร พลันวางใจลงได้ในที่สุด เอ่ยชมที่หลานชายก้าวหน้า
เจินจยาฝูกับพี่ชายเดินเข้าไปคารวะเมิ่งฮูหยิน หลังรำลึกความหลังกันเสร็จ เมิ่งซื่อจึงถาม “ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง หากพอมีเวลาข้าจะพาเด็กๆ ไปโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสียหน่อย”
ซินฮูหยินจึงส่งคนไปถาม ผ่านไปไม่นานบ่าวหญิงอาวุโสผู้นั้นก็กลับมาแจ้ง “หลายวันมานี้สุขภาพฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยจะดี ยามนี้อยู่ในห้องพระ บทสวดยังท่องไม่เสร็จ บอกว่าพวกท่านเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ถึงอย่างไรก็เป็นญาติกัน ไม่จำเป็นต้องมาคำนับกันเป็นพิเศษแล้ว บอกให้ฮูหยินกับฮูหยินรองรับรองให้ดี อย่าได้ละเลยเด็ดขาด”