เซ่าหมิงยวนโอบตัวนางนั่งลง จ้องตานางพลางพูดอย่างจริงจัง “อันว่าคนทุกคนต่างมีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกัน เด็กโง่ อย่าบังคับตนเองไปทำเรื่องที่ไม่ถนัด พวกของเล็กๆ น้อยๆ อย่างถุงผ้าปักนี้ข้าสามารถซื้อหามาใช้หรือไม่ก็ให้ช่างเย็บปักทำให้ก็ย่อมได้”
อืม รอเจาเจาแต่งเข้ามาแล้วต้องจัดเตรียมพวกช่างเย็บปักไว้ประจำเรือนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ใครจะรู้ว่าเขากล่าวคำนี้แล้วจะโดนคนในอ้อมแขนมองค้อนวงหนึ่ง “ถุงผ้าปักให้ช่างเย็บปักทำได้ แล้วอีกหน่อยพวกเสื้อตัวในของท่านก็จะให้พวกนางทำใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มอึ้งงันไป จากนั้นใบหูสองข้างแดงขึ้นเรื่อยๆ
ในกาลก่อนเขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ แต่พอเจาเจาพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาทันใด ราวกับเสื้อตัวในที่สวมใส่อยู่ตอนนี้กัดคนได้กระนั้น เป็นเหตุให้เขาอึดอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว
เฉียวเจาหลุบเปลือกตาลง แพขนตายาวเฟื้อยและดกหนาบดบังรอยเขินอายในดวงตาไว้ “เมื่อก่อนท่านสวมอะไรข้าไม่ยุ่งด้วย แต่วันหน้า…อาภรณ์เครื่องประดับที่แนบชิดติดตัวเหล่านั้นจะให้คนอื่นทำย่อมต้องไม่เหมาะแน่…เอ๊ะ ท่านจะทำอะไร…”
ถ้อยคำประโยคหลังของนางถูกกลืนหายไปในจุมพิตที่ประทับลงมาของชายหนุ่ม
“เซ่าหมิงยวน…บอกแล้วว่า…อย่าทำเหลวไหล…” เสียงพูดของเฉียวเจาขาดเป็นห้วงๆ
เขาปล่อยตัวนางกะทันหัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายระยับ ตรงกลางอกละม้ายมีกระแสไอร้อนแผ่มากระทบหนแล้วหนเล่า
มีแต่ภรรยาเท่านั้นถึงจะถือสาที่อาภรณ์แนบกายของสามีทำด้วยมือสตรีอื่น แล้วการมีคนคอยดูแลเรื่องส่วนตัวทุกอย่างให้เขาเฉกนี้เป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ ทำให้เขารู้ว่าความหมายของเรือนคืออะไร
“เจาเจา อย่างนั้นวันหน้าเสื้อตัวในของข้าให้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมดนะ” เซ่าหมิงยวนเอาหน้าซุกไซ้เรือนผมสลวยของนาง ครั้นนึกไปถึงถุงผ้าปักใบนั้น เขาก็ชะงักเล็กน้อยก่อนรีบพูดเสริมขึ้น “เจ้าค่อยๆ ทำได้ ไม่รีบ”
เขาสงสารที่เจาเจาต้องลำบากเหน็ดเหนื่อยกับงานเย็บปักถักร้อย แต่ก็โลภมากอยากได้อาภรณ์ชั้นในที่นางเย็บเองกับมือ
เฉียวเจาเม้มปากยิ้ม “ถุงผ้าปักใบเดียวก็ทำให้ท่านไม่มั่นใจในตัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านวางใจได้ แม้ข้าปักผ้าไม่ได้เรื่อง ทว่าตัดเย็บชุดง่ายๆ ได้ไม่มีปัญหา อีกอย่างใต้หล้ามีเรื่องที่เรียนรู้ไม่ได้ที่ใดกัน มีแต่เรื่องที่ไม่เต็มใจเรียนรู้ต่างหาก”
นางกลับไปก็จะเรียนวิธีทำเสื้อตัวในกับอาจูเลย ทว่านางยังไม่รู้สัดส่วนของเขา…
แม่นางเฉียวเลื่อนสายตาลงชำเลืองมองโดยไม่รู้ตัว
ในเสี้ยวเวลานี้ชะรอยทั้งคู่คงจิตใจตรงกัน เซ่าหมิงยวนถึงกับรู้ว่าเฉียวเจาคิดอะไรอยู่ทันที
จะตัดเสื้อก็ต้องวัดตัว ทั้งที่เป็นเรื่องแสนจะธรรมดา แต่ชุดที่เจาเจาจะเย็บให้ข้าเป็นเสื้อตัวใน เช่นนั้นมิใช่ว่า…
ใบหน้าของแม่ทัพเซ่าพลันแดงแจ๋เป็นกุ้งต้มสุก
พอเขาหน้าแดงเฉียวเจาก็พลอยกระอักกระอ่วนไปด้วย นางยื่นมือไปหยิกเขาทีหนึ่งพร้อมกับพูดดุ “ท่านคิดเหลวไหลอะไรอยู่”
“ข้าไม่ได้คิดเหลวไหล…” เซ่าหมิงยวนจับมือเด็กสาวไว้ เห็นนัยน์ตาสุกใสดุจตาลูกกวางของนางมองเขาอยู่ก็กุลีกุจอลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวโพล่งขึ้น “เจ้าจะวัดตัวหรือไม่”
วัดตัว…
สายตาของเฉียวเจาเลื่อนลงด้านล่าง
ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดเข้ารูปสีดำสนิท ขับเน้นสองขาให้ดูเพรียวยาวยิ่งขึ้น ถึงแม้เขายืนนิ่งไม่ขยับ ทว่ายังคงรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่กระชับแน่นแข็งแรงผ่านขากางเกงได้
เหนือขึ้นมาเป็นเอวสอบที่คาดสายรัดเอวหยกขาวไว้ ยังมีบั้นท้ายกลมแน่นครัดเคร่ง…
เฉียวเจาสะดุ้งโหยงเบนสายตาออก หัวใจเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำ
เมื่อครู่พูดคุยถึงเจินเหนียงกับน้องสาวซึ่งเป็นเรื่องจริงจังเป็นการเป็นงานอย่างนั้น เหตุอันใดตอนหลังถึงเถลไถลออกนอกเรื่องได้เล่า
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปในชั่วขณะ บรรยากาศรอบด้านแฝงกลิ่นอายหวามไหว แต่กลับคล้ายมีประกายไฟที่มองไม่เห็นปะทุขึ้น ทำให้รอบตัวหนุ่มสาวสองคนร้อนขึ้นทีละน้อยทีละนิด
“เจาเจา ข้า…ข้าพาเจ้าไปส่งเถอะ” เซ่าหมิงยวนดึงสติสัมปชัญญะกลับมาอย่างยากลำบาก
แต่ก่อนเขากับนางเป็นคนแปลกหน้าซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนยุ่งยาก เขาทำได้เพียงเข้าใกล้นางหนแล้วหนเล่าถึงรับรู้ได้ว่านางยอมรับเขา จิตใจที่ทุกข์ทนทุรนทุรายถึงสงบลงได้
ทว่าบัดนี้เขากับนางเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ไม่ถูกกีดขวางด้วยกรอบประเพณีแล้ว หากสิ่งที่เขาต้องทำคือห้ามใจ ไม่ให้สตรีอันเป็นที่รักต้องเสียหาย
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
ทั้งคู่เดินไปถึงหน้าประตู เฉียวเจาหยุดฝีเท้าพลางเอ่ย “ไม่ต้องส่งแล้ว ข้ากลับไปเองได้”
เซ่าหมิงยวนรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่ก็โล่งอกด้วย “อื้อ วันที่สองข้าจะไปเยี่ยมคารวะอวยพรวันตรุษที่จวนนะ”
และถือโอกาสหยั่งท่าทีท่านพ่อตาดูว่าข้าจะแต่งเจาเจาเข้าเรือนได้เมื่อไร
เขาคิดคำนึงอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าได้ว่ากลิ่นกายคุ้นจมูกเข้ามาใกล้กะทันหัน
“เซ่าถิงเฉวียน ข้าขออวยพรวันตรุษท่านล่วงหน้านะ” เฉียวเจาเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มเขาทีหนึ่งแล้วรีบวิ่งกลับเรือนไป