กีรณาเดินมาหยุดข้างเตียง ไม่มีคำปลอบใจ หรือท่าทีปลอบโยนกับคนเจ็บที่ตามตัวมีรอยแผลและบนศีรษะถูกไม้ตีหัวแตกเย็บหลายเข็มจนต้องพันผ้าก๊อซเอาไว้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องชายเกเรของเธอไปมีเรื่องมีราวกับคู่อริ แต่มันหลายครั้งจนเธอเอือมระอาที่จะพูดแล้ว
ห่วงมันก็ห่วงอยู่หรอก แต่เธอเหนื่อยใจกับน้องชายเหลือเกิน
‘พวกไอ้ ‘ฤกษ์’ มันมาหาเรื่องก่อน ผมกับไอ้กันต์พยายามเลี่ยงแล้วนะเจ้’
พศินกลัวเพื่อนจะโดนด่าก็เลยออกตัวพูดแทน เอาจริงๆ ที่การันต์ต้องเจ็บหนักก็เพราะไปช่วยพศินนี่เอง เขาเป็นคนหัวอ่อน ยอมคน และค่อนข้างขี้ขลาด พวกของฤกษ์ซึ่งเป็น ‘ขาใหญ่’ ในซอยจึงมักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาอยู่บ่อยๆ จนการันต์ต้องไปช่วยเสมอทำให้ฤกษ์หมั่นไส้การันต์
ระยะหลังๆ ฤกษ์มักจะหาเรื่องพศินเพื่อให้การันต์ไปช่วย จะได้หาเรื่องต่อยตีการันต์จนเจ็บหนัก แล้วการันต์ก็ดันเป็นคนเลือดร้อน สู้คน กล้าได้กล้าเสีย และยอมเจ็บตัวดีกว่ายอมก้มหัวให้ใคร แม้จะพยายามอดทนอดกลั้นเพื่อไม่ให้มีเรื่องกับพวกของฤกษ์ แต่พอถูกเย้ยหยันเข้าก็ทนไม่ได้ทุกที
‘เพราะแกหรือเปล่าล่ะที่ทำให้มันมีข้ออ้างมาหาเรื่อง’
กีรณาตอกกลับไปอย่างรู้สถานการณ์ทำให้พศินถึงกับพูดไม่ออก…เมื่อหลายปีก่อนยาเสพติดระบาดเข้ามาในซอยหมู่บ้าน ตอนนั้นพศินกับการันต์อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พศินถูกดึงเข้าไปเป็นลูกน้องของฤกษ์จนติดยาและเกือบจะกลายเป็นพ่อค้ายาเสพติดรายย่อยไปแล้ว แถมยังจะดึงการันต์เข้าไปด้วย แต่ยังดีที่น้องชายของเธอ…แม้จะเกเรอยู่เนืองนิตย์แต่ยังไม่โง่จนหลงเข้าไปพัวพันกับยาเสพติด
หญิงสาวพอจะรู้ว่าฤกษ์อยากดึงการันต์ไปเป็นลูกน้อง เพราะการันต์เป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจกับเพื่อนและรุ่นน้องจนเป็นที่รักของกลุ่มวัยรุ่นชายในซอย อีกทั้งยังเป็นคน ‘ใจถึง’ และฉลาด
หากได้ไปเป็นลูกน้องจะช่วยงานฤกษ์ได้มาก ดังนั้นเพื่อ ‘ตัดไฟแต่ต้นลม’ กีรณาจึงแจ้งตำรวจไปจับลูกน้องของฤกษ์ตอนที่พวกมันนัดส่งยา และตำรวจเกือบจะสาวไปถึงตัวฤกษ์แล้ว ทำให้ฤกษ์โกรธมากจนถึงขั้นประกาศว่าจะจับกีรณามาทำเมียในสักวันหนึ่ง
ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เกรงกลัวเพราะรู้ว่าฤกษ์ใหญ่แค่ในซอยเท่านั้นแหละ
‘ผมก็พยายามหาเงินไปคืนมันอยู่’
พศินบ่นอุบอิบอย่างรู้สึกผิด เพราะเคยหลงไปติดยาอยู่พักหนึ่งทำให้ติดหนี้ฤกษ์ แม้ปัจจุบันจะเลิกแล้วแต่ฝ่ายนั้นก็ยังใช้เรื่องเงินเป็นข้ออ้างในการตามราวีจนการันต์ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็กและคอยช่วยเหลือกันมาตลอดต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ใจจริงพศินก็อยากใช้หนี้ให้จบๆ ไป แต่ด้วยความที่ครอบครัวมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ ฐานะค่อนข้างลำบาก และเขาก็ยังเรียนไม่จบก็เลยยังไม่มีเงินไปให้ฤกษ์ ต่อให้จะเป็นเงินแค่หลักหมื่นก็ตาม ครั้นกีรณากับการันต์จะช่วยออกเงินให้ก็ไม่มีปัญญาเช่นกัน
หลังจากบิดาและมารดาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตอนที่หญิงสาวยังเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง กีรณาก็ต้องส่งเสียตัวเองกับน้องชายเล่าเรียน และยังต้องหาเงินใช้หนี้ที่บุพการีนำบ้านไปจำนองไว้อีกต่างหาก เพราะถึงแม้พวกท่านจะทำประกันชีวิตเอาไว้แต่ก็ได้เงินไม่มากนัก
สองพี่น้องต้องช่วยกันทำงานพิเศษมาโดยตลอด เพราะพวกเขาไม่มีญาติที่ไหนมาคอยช่วยเหลือจุนเจือได้ และด้วยความที่กลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวนี่เองที่ทำให้กีรณาดุเหมือนแม่คนที่สองของการันต์ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะยี่สิบห้าปี และห่างจากการันต์แค่สามปีเท่านั้น
‘ปีนี้ก็จะเรียนจบกันแล้ว รีบหางานทำ รีบหาเงินไปคืนมันให้ได้ก็แล้วกัน มันจะได้ไม่มีข้ออ้างมาวุ่นวายกับพวกแกสองคนอีก’ กีรณาดุอย่างไม่ไว้หน้าทั้งเพื่อนสนิทของน้องชายและน้องชายของตนเอง ‘แกเองก็เหมือนกัน อย่าเปรี้ยวให้มันมากนัก รู้อยู่ว่าพวกนั้นมันหมาหมู่ เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเหอะ’
‘ผมรู้แล้วน่า’
ตอบอย่างนี้ทุกที…