เจินจยาฝูมองส่งเงาร่างมารดาแล้วก็กลับไปนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม เหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นมากะทันหัน เอ่ยกับเจินเย่าถิงว่า “พี่ชาย อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรทำ พี่ไปสถานที่หนึ่งเป็นเพื่อนข้าเถอะเจ้าค่ะ”
เจินเย่าถิงเป็นคนประเภทที่ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว อีกอย่างเขาก็อยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว ขณะกำลังคิดว่าจะบอกให้น้องสาวปล่อยตนเองออกไปโดยไม่ฟ้องมารดาอย่างไรดี พลันได้ยินนางเปิดปากบอกว่าต้องการออกจากบ้านเองก่อนเช่นนี้ นับว่าตรงใจเขาพอดี เมื่อถามถึงสถานที่ ยามได้รู้ว่าเป็นวัดฉือเอิน เขาจึงหัวเราะเสียงดังออกมา “ข้ารู้แล้ว เจ้าคิดอยากไปไหว้พระขอพรให้งานแต่งงานราบรื่นใช่หรือไม่ ได้ พี่ชายจะพาเจ้าไปส่ง ให้เจ้าได้สมดั่งใจหวัง แต่งให้กับบุรุษผู้เพียบพร้อม!”
วัดฉือเอินตั้งอยู่นอกประตูอันติ้งทางทิศเหนือของเมือง เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งมานาน ได้รับพระราชโองการให้สร้างขึ้นในช่วงแรกของการก่อตั้งแคว้น ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นวัดตอบแทนคุณแผ่นดิน ภายในวัดนอกจากบรรดาอุโบสถใหญ่ ห้องโถงทำพิธี กับเรือนพักอื่นๆ ที่มีอยู่เหมือนวัดทั่วไปแล้ว ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ยังมีสถานที่เก็บตำราแห่งหนึ่ง ได้รับนามว่า ‘หอคัมภีร์หลุนจ่วน’ เพื่อให้มีความหมายว่าวัฏจักรที่สมบูรณ์ เป็นหอคัมภีร์ที่สร้างมาจากไม้ ติดตั้งกลไก สามารถใช้แรงคนผลักหมุน ภายในเก็บคัมภีร์เอาไว้นับไม่ถ้วน ถ้าหากมีคนหมุนครบหนึ่งรอบก็จะหมายความว่าได้อ่านคัมภีร์ทุกเล่มที่เก็บอยู่ในนี้
เป็นเพราะการคงอยู่ของหอคัมภีร์หลุนจ่วนนี้ หลังยุคสมัยผ่านไป บนกำแพงวัดฉือเอินจึงเหลือทิ้งคำถามจำนวนนับไม่ถ้วนจากนักกวีเอาไว้ ซ้ำยังมีภิกษุเดินทางไกลมาเพื่อปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่ได้ยินมาว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ภิกษุมากมายที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม จวบจนสิ้นอายุขัยก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดสามารถหมุนหอคัมภีร์หลุนจ่วนได้ครบหนึ่งรอบ
ในตอนที่เจินจยาฝูเร่งไปถึงวัดฉือเอินก็เป็นเวลายามอู่พอดี ภายในวัดมีคนอยู่ไม่มาก ทว่าเมื่อครู่ที่มาถึงบริเวณตีนเขา นางกลับมองเห็นรถม้าของจวนเว่ยกั๋วกงจอดอยู่ที่นั่นอย่างที่คิดไว้จริงๆ รู้ว่าผู้ที่ตนเองต้องการพบยามนี้ยังอยู่ภายในวัดแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงเดินผ่านซุ้มประตูที่อยู่ด้านหน้าวัด มุ่งตรงไปจุดธูปไหว้พระยังอุโบสถ บริจาคธูปเทียนและน้ำมัน เมื่อเสร็จสิ้นออกมาจึงสอบถามภิกษุที่เดินผ่านมาถึงที่อยู่ของคนจากจวนเว่ยกั๋วกง
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตวนฮุ่ยฮองเฮาติดโรคระบาด เนื่องจากยามนั้นอาการประชวรรุนแรง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปทั่วตำหนักในจึงถูกส่งมาอยู่ที่วัดฉือเอินเพื่อแยกรักษาตัว อาการประชวรรุมเร้าฮองเฮานานปีกว่า อาการไม่ดีขึ้น มีแต่ย่ำแย่ลงทุกวัน สุดท้ายก็สวรรคตจากไปที่อารามหลังวัด ในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยเข้าออกวัดอยู่บ่อยครั้ง ภิกษุภายในวัดจึงคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
เดิมภิกษุต้อนรับผู้นี้ไม่คิดจะสนใจ แต่เห็นเจินจยาฝูใจบุญสุนทาน จึงเอ่ยบอกออกมาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากั๋วกงไปพักผ่อนยังอารามด้านหลังแล้ว สีกาไม่อาจเข้าไปได้”
“ฮูหยินผู้เฒ่ากั๋วกงเองก็อยู่ในวัดหรือ”
ในสมองเจินเย่าถิงปรากฏหญิงสาวงดงามที่ได้พบเมื่อวานทันที เขาอดดีใจไม่ได้ รีบเอ่ยกระตุ้นเจินจยาฝู “เจ้ารีบเข้าไปเร็วเข้า บอกให้คนไปแจ้งให้เจ้าหน่อยสิ อย่างไรก็บังเอิญมาพบกันที่นี่แล้ว หากไม่ไปคารวะจะดูเสียมารยาทเกินไป”
เจินจยาฝูรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีนิสัยนอนตอนกลางวัน จะทำตามพี่ชายว่าได้อย่างไร อีกอย่าง ที่นางมาถึงที่นี่ เดิมทีผู้ที่อยากพบก็ไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยอยู่แล้ว
นางยืนอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้หันหน้าไปเอ่ยกับเจินเย่าถิง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าไปดูก่อน พี่ชายรอข้าอยู่ในอุโบสถด้านหน้านี้ อย่าได้เดินไปที่ใดเล่า”
เจินเย่าถิงรับปาก ทั้งยังยิ้มแย้มเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “ถ้าหากเจอคนแล้วก็อย่าลืมพูดถึงข้าเสียเล่า จะได้เรียกข้าเข้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน!”
เจินจยาฝูผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ พาถานเซียงเดินผ่านอุโบสถใหญ่ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยก็อายุมากแล้ว หลังจุดธูปไหว้พระเสร็จ กินอาหารอีกเล็กน้อย นางก็แสดงอาการง่วงนอนออกมาอย่างชัดเจน เผยโย่วอันจึงส่งนางไปพักผ่อนในอาราม
หลังตวนฮุ่ยฮองเฮาสวรรคต เทียนสี่ฮ่องเต้ได้ปิดตายอารามที่พระนางเคยพักรักษาตัวแห่งนี้ อนุญาตให้เพียงฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเผยผู้เป็นมารดาของฮองเฮาเข้าออกเท่านั้น เอาไว้ระลึกถึงผู้ตาย ระหว่างนั้นก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว บัดนี้แม้ซุ่นอันอ๋อง ฮ่องเต้ผู้ขึ้นครองราชย์ด้วยฐานะผู้สำเร็จราชการแทนจะไม่ได้ชื่นชอบสกุลเผย แต่กับพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนซึ่งเป็นพระเชษฐาด้วยนั้น พระองค์ก็ไม่ถึงขั้นต่อต้านอย่างเปิดเผย ดังนั้นอารามอันเงียบสงบที่เป็นเรือนสี่ประสานแห่งนี้ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงเป็นของจวนเว่ยกั๋วกงเท่านั้น ตามปกติแล้วประตูใหญ่จะปิดสนิท หากฮูหยินผู้เฒ่าต้องการมาเยือน ภายในวัดทราบข่าวล่วงหน้าก็จะเปิดประตูทำความสะอาดเตรียมรับแขก
เผยโย่วอันรู้ว่าท่านย่ารู้สึกคิดถึงท่านอาหญิงที่โชคร้ายจากไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้าผู้นั้นเสมอ ยามนี้เห็นนางยืนอยู่ภายในห้อง จึงหยุดฝีเท้าลงแล้วมองดูรอบๆ เช่นกัน