เมิ่งซื่ออึ้งไป มองสบตากับบุตรสาว พึมพำเอ่ย “เขามาทำอะไรในเวลาเช่นนี้” เอ่ยจบก็บอกให้ป้าหลิวเชิญคนเข้ามาก่อน ส่วนตนเองเดินไปหน้าคันฉ่อง เติมแป้งลงไปบนใบหน้าเล็กน้อย ปิดบังคราบน้ำตาเมื่อครู่นี้ หลังเห็นว่ามองไม่เห็นความผิดปกติแล้ว ก่อนออกไปนางก็หันมาสั่งว่า “อาฝู ลูกกลับห้องไปก่อนเถอะ แม่จะไปดูว่าเขามาทำอะไร”
คลื่นลูกหนึ่งยังไม่ทันสงบ อีกลูกก็ก่อตัวขึ้นมาเสียแล้ว
เพิ่งจะจัดการเผยโย่วอันที่โผล่มาขัดขวางกลางทางไปได้ หลังกลับมาถึงบ้าน ปลอบโยนมารดาเรียบร้อย เผยซิวจื่อก็มาอีกคนหนึ่งแล้ว
หัวใจที่เพิ่งสงบลงไปของเจินจยาฝูเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง จะให้นางกลับห้องไปรออย่างสงบจริงๆ ได้อย่างไร คล้อยหลังมารดาเดินออกไปได้ไม่นาน นางก็ลอบมาที่ห้องรับแขกด้านหน้าเงียบๆ ซ่อนตัวอยู่ข้างนอกบานหน้าต่าง มองเข้าไปข้างใน
เผยซิวจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่เยื้องกับเมิ่งซื่อ กำลังพูดจา
“ท่านน้า พอข้าได้ยินเรื่องนี้ก็เร่งรีบมาทันที ข้ารู้ว่าวันนี้ท่านน้าคงโมโหไม่น้อย ขอท่านน้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเป็นอันขาด เรื่องของเฉวียนเกอเอ๋อร์จะเกี่ยวข้องกับน้องฝูได้อย่างไร เดิมทีท่านแม่ข้าก็ไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ ท่านเองก็รู้ว่านางชื่นชอบน้องฝูมากนัก หวังให้นางสามารถแต่งเข้ามาได้ในเร็ววันโดยตลอด ล้วนเป็นเพราะสตรีสกุลซ่ง นางไม่อยากให้ข้าแต่งภรรยาใหม่ถึงได้สร้างเรื่องขึ้นมา หากท่านน้าตัดใจด้วยเหตุนี้ มิใช่เป็นการตกหลุมพรางของนางหรอกหรือ”
เป็นเพราะเรื่องราวในวันนี้ เมิ่งซื่อจึงเริ่มรู้สึกไม่พอใจไปถึงตัวเผยซิวจื่อด้วยแล้ว นางฝืนเอ่ย “ซื่อจื่อ ไม่ใช่ว่าทางข้าตัดใจ แต่เป็นทางเจ้าที่มีเรื่องราวไม่หยุดหย่อนต่างหาก เรื่องงานแต่ง สิ่งสำคัญก็คือเรื่องความเหมาะสม ความเต็มใจทั้งสองฝ่าย พวกเราสองสกุลคุยเรื่องงานแต่ง เดิมทีก็ไม่นับว่าเหมาะสมกันอยู่แล้ว เป็นสกุลเจินของข้าที่คิดปีนป่ายเอง ในใจข้ากระจ่างชัด ทุกคนเกรงใจกันยังดี ทว่าบัดนี้แม้แต่คำพูดเช่นนั้นยังพูดออกมาได้ งานแต่งงานนี้จะยังมีต่อไปได้อย่างไร แม้สกุลเจินของพวกเราจะฐานะต้อยต่ำ แต่ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียว เห็นเป็นสมบัติล้ำค่าดุจแก้วตาดวงใจมาตั้งแต่เด็ก ยามนี้ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรกับทางด้านข้าก็ล้วนเปล่าประโยชน์”
นับตั้งแต่วันนั้นที่เผยซิวจื่อได้เห็นเจินจยาฝู จิตใจก็คอยอาวรณ์หาอยู่ทุกวัน รู้สึกชมชอบถึงที่สุด ยามนี้เห็นทางสกุลซ่งด้านนั้นก่อเรื่อง มารดาตนเองก็หลงเชื่อ มองดูทางด้านเมิ่งซื่อแล้วก็เกิดความคิดจะล้มเลิก จึงรู้สึกร้อนใจ ถึงกับลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เดินก้าวพรวดไปตรงหน้าเมิ่งซื่อ คุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้นแล้วเอ่ย “ท่านน้า! ขอร้องท่านแล้ว ถือว่าเห็นแก่หน้าข้า ช่วยรออีกสักหน่อย ข้าจริงใจต่อน้องฝู ฟ้าดินสามารถเป็นพยาน ขอแค่ข้าได้แต่งกับนาง ข้าจะต้องทำดีต่อนางไปตลอดชีวิตแน่นอน! ท่านน้าได้โปรดเห็นใจข้า ให้เวลาข้าอีกสักพัก รอข้ากลับไปพูดคุยกับท่านแม่ ท่านแม่จะต้องฟังข้าอย่างแน่นอน หากท่านตัดใจจากไปทั้งอย่างนี้ จะให้ข้าทำอย่างไร”
เมิ่งซื่อคาดไม่ถึงว่าเผยซิวจื่อจะถึงกับคุกเข่าขอร้องตนเอง นางสะดุ้งตกใจ รีบร้อนประคองเขาขึ้นมา เผยซิวจื่อกลับไม่ยอมลุกขึ้น ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เอาแต่เอ่ยว่า “หากท่านน้าไม่เห็นใจข้า ข้าก็จะไม่ลุกขึ้น!”
เจินจยาฝูรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง สองมือกำแน่นกลายเป็นหมัด เมื่อเห็นมารดาได้รับความลำบากใจ ท่าทางคล้ายหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขาบ้างแล้ว นางก็แทบอยากพุ่งเข้าไปปฏิเสธต่อหน้าทันที ในตอนที่กำลังร้อนใจนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น “รังแกกันเกินไปแล้ว! เห็นคนสกุลเจินตายกันไปหมดแล้วหรือไร!”
คำพูดเพิ่งจะเอ่ยจบ เสียงโครมก็ดังขึ้น ประตูถูกคนถีบเข้ามา
เจินจยาฝูหันไปมอง เห็นพี่ชายเจินเย่าถิงบุกเข้ามา วิ่งมาตรงหน้าเผยซิวจื่อพร้อมตะโกนอย่างโมโห “น้องสาวข้าไม่แต่งแล้ว! ถ้าไม่มีผู้ใดต้องการจริงๆ ข้าจะเลี้ยงนางไปตลอดชีวิตเอง ไม่คิดจะให้นางไปทนรับเรื่องน่าโมโหเช่นนี้ที่สกุลพวกท่าน! ท่านรีบไปเสีย!”
เมิ่งซื่อเห็นบุตรชายถึงกับบุกเข้ามาเช่นนี้ ดวงตาพลันเบิกกว้าง เส้นเอ็นเขียวบนหน้าผากปูดโปน เอ่ยต่อว่าอย่างร้อนรน “เจ้ามาทำอะไรกัน ออกไป! ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้า!”