“หวังหู่ไม่ใช่ฆาตกรในคดีฆ่าข่มขืน แม้แต่จ้าวอี๋เหนียงเขาก็ไม่ได้เป็นคนฆ่า! แล้วเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบนอกจากใช้วิธีทรมานจนคนต้องยอมรับผิดและอยากได้ลาภยศสรรเสริญแล้วยังทำอะไรอีกบ้าง หากเจ้าสอบสวนเรื่องที่หวังหู่ถูกใส่ร้ายให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเขาก็คงไม่ต้องถูกขังในห้องขัง และก็คงไม่ต้องตายเช่นนี้!”
“เจ้า…เจ้า…” เจ้าเมืองหลี่เถียงไม่ออก เมื่อถูกหลินหวั่นชิงแผดเสียงใส่เช่นนี้แม้แต่พลังก็ถูกกดจนอ่อนแรงลง จึงทำได้เพียงพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าดูหมิ่นศาล เหยียดหยามข้าราชสำนัก ตามกฎลงโทษโบยด้วยไม้สามสิบครั้ง ใครก็ได้มานี้! มา…”
เสียงออกคำสั่งดังขึ้น แต่ยังไม่ทันที่คำว่า ‘โบย’ ของเจ้าเมืองหลี่จะออกจากปากก็มีคำว่า ‘ช้าก่อน’ อย่างเย็นชาดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
พลันเจ้าเมืองหลี่ก็นึกถึงซูโม่อี้ที่นั่งเงียบดูละครอยู่ข้างๆ มาเป็นเวลานานผู้นี้ขึ้นมาได้ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายโบกแขนเสื้อกว้างสีฟ้า นิ้วมือยาวที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนโบกไปมา เจ้าหน้าที่ที่เมื่อครู่ยังฟังคำสั่งกำลังเตรียมจะลงมือก็ต้องก้มหน้าถอยกลับไปเหมือนผักกาดขาวเหี่ยวๆ ในทันที
“ใต้เท้าซู…” เจ้าเมืองหลี่ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกซูโม่อี้ยกมือห้ามไว้ ในศาลจึงเงียบไปครู่หนึ่ง
ภายใต้แสงไฟอันเจิดจ้าซูโม่อี้ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจ้าหน้าที่จดบันทึกที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด
มวยผมของหลินหวั่นชิงหลุดไปข้างหนึ่ง เส้นผมสีดำสลวยที่ยุ่งเหยิงตกลงบนไหล่ แก้มข้างหนึ่งมีรอยมีดคมๆ อย่างชัดเจน หยดเลือดแข็งตัวแล้ว ติดค้างอยู่ตรงหน้าราวกับปะการังสีแดงกระนั้น ชุดขุนนางสีเทาอ่อนมีทั้งโคลนและเลือด…ดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก
แต่ว่า…จู่ๆ พื้นที่ส่วนหนึ่งในหัวใจก็เต้นขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซูโม่อี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อคนมุทะลุที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเขา? เพื่อความเฉียบแหลมที่มองความจริงได้อย่างทะลุปรุโปร่งของเขา? หรือเพียงเพราะเพื่อความถือทิฐิที่ชนเข้ากับกำแพงบังตาก็ไม่ยอมหันหลังกลับของเขา?
จู่ๆ ซูโม่อี้ก็ยิ้มโดยที่มุมปากโค้งขึ้นเพียงเล็กน้อย เวลานี้เขารู้สึกว่าเจ้าหน้าที่จดบันทึกผู้นี้น่าสนใจ…น่าสนใจมาก
“ใต้เท้าซู?” คราวนี้เจ้าเมืองหลี่เปลี่ยนน้ำเสียงในการถาม อาจเป็นเพราะเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของซูโม่อี้แล้ว จึงไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม
ซูโม่อี้ไม่ได้สนใจเจ้าเมืองหลี่ ยังคงมองหลินหวั่นชิงแล้วเอ่ยถามเรียบๆ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหวังหู่ไม่ได้ฆ่าจ้าวอี๋เหนียง?”
ผู้ที่อยู่หน้าบัลลังก์ต่างตกตะลึงราวกับคาดไม่ถึงว่าซูโม่อี้จะถามคำถามนี้ แต่เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ได้ฆ่า”
เจ้าเมืองหลี่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ย สีหน้ามีแววดูถูกดูแคลน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ฆ่า”
“เพราะเขาไม่มีเหตุผลที่จะฆ่านาง”
เจ้าเมืองหลี่ต้องการจะพูดต่อ แต่ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดก็เห็นสายตาของซูโม่อี้ที่มองมาทางตนอย่างห้ามปราม
จากนั้นซูโม่อี้เอ่ยถามต่อว่า “แล้วเขาแอบเข้าไปในห้องของสตรีตอนกลางดึกด้วยเหตุใด”
หลินหวั่นชิงเงียบขรึม ใช้ฟันกัดเนื้อนุ่มในริมฝีปากเบาๆ พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ถ้าข้าบอกว่า…หวังหู่บอกข้าว่าจ้าวอี๋เหนียงซึ่งเป็นสหายเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ของเขาได้ส่งจดหมายให้เขาเพราะต้องการให้หวังหู่พานางหนีตามกันไป ใต้เท้าจะเชื่อหรือไม่”
ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ภายในใจเริ่มคลี่คลายแล้ว ซูโม่อี้ไม่ได้พูดอะไร ภายใต้เปลวไฟที่พลิ้วไหวเงาของเขาทาบลงบนพื้นใต้เท้า นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือข้างขวาคลึงกันไปมา เกิดเสียงสากๆ เบาๆ สายตาเหม่อมองไปไกลไม่รู้ไปตกลงที่ใด
“ใต้เท้าซู?” เจ้าเมืองหลี่คาดการณ์ในใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ใต้เท้าซูมีอะไรจะชี้แนะหรือไม่”
ซูโม่อี้หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที เขาแย้มยิ้มแบบขอไปทีพลางเอ่ย “ไม่มีแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น…เจ้าหน้าที่จดบันทึกผู้นี้…” เป็นขุนนางมาหลายปีเจ้าเมืองหลี่ย่อมต้องรู้จักดูท่าทีของผู้อื่น ในเมื่อซูโม่อี้ได้ออกหน้ายับยั้ง เช่นนั้นขั้นต่อไปจะทำอย่างไรย่อมต้องถามความเห็นเขาก่อนแล้ว