คนหน้าบัลลังก์ดูเหมือนจะคาดเดาความคิดที่บิดเบี้ยวของเขาได้ ท่าทีดูเหมือนว่ากำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงรีบโบกมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าน้อยไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เพียงแต่ในวัยเด็กฐานะยากจน ขาทั้งสองข้างเกิดโรคที่บอกผู้ใดไม่ได้จากอากาศที่หนาวเหน็บ เกรงว่าจะรับโทษโบยด้วยไม้ไม่ไหว จึงได้ขอร้องเช่นนี้”
“อ้อ?” ซูโม่อี้ดูแคลน เพราะข้ออ้างเหล่านี้ขณะที่สอบปากคำนักโทษเขาได้ฟังจนเบื่อแล้ว นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างสีฟ้าเริ่มคลึงกันไปมา
“แต่ตาม ‘กฎหมายราชวงศ์ใต้’ ในกฎหมายอาญานอกจากการลงโทษโบยด้วยไม้แล้วก็เหลือเพียงการลงโทษโบยด้วยแส้” หลังจากพูดจบซูโม่อี้ก็จงใจหยุดชั่วขณะ และเงยหน้าขึ้นเพื่อสังเกตสีหน้าของหลินหวั่นชิง
การลงโทษโบยด้วยแส้ของราชวงศ์ใต้ ตามปกติจะใช้ในการลงโทษทาสที่กระทำผิดร้ายแรง เป็นการลงโทษตามชื่อ โดยจะนำคนมาแขวนไว้ ก่อนจะใช้หนังวัวผูกเป็นแส้แล้วโบยที่หลัง แต่แส้นั้นไม่ใช่แส้ธรรมดาเพราะบนนั้นมีหนามกระจายไปทั่ว ทุกครั้งที่โบยลงไป ผิวหนังก็จะปริแตก บาดเจ็บอย่างสาหัส ในฐานะเจ้าหน้าที่จดบันทึกของที่ว่าการเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้ที่หลินหวั่นชิงจะไม่รู้ว่าซูโม่อี้กำลังแสดงความน่าเกรงขามให้ตนเองเห็น
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือหลินหวั่นชิงเพียงยิ้มอย่างสงบ ราวกับว่ากำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจอย่างเงียบๆ จากนั้นแสดงการคารวะเขาแล้วพูดว่า “ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา” พูดจบก็เดินตามเจ้าหน้าที่สองคนออกไปทันที
นี่เป็นการโยนความตกใจให้กับซูโม่อี้อีกครั้ง เขากลัวถูกโบยด้วยไม้ แต่กลับรู้สึกสบายๆ กับการลงโทษโบยด้วยแส้ที่คนได้ยินแล้วต่างรู้สึกหวาดกลัว หลินหวั่นชิงผู้นี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
ยามเที่ยงคืน อากาศในคืนฤดูใบไม้ผลิมีไอหมอกบางๆ ซึ่งทำให้หน้าตาคนเปียกชื้น
เมื่อซูโม่อี้ออกมาจากที่ว่าการเมืองหลวงก็ผ่านยามโฉ่ว ไปแล้ว เยี่ยชิงเดินตามเขาออกจากประตูหน้าที่เงียบสงัดของที่ว่าการเมืองหลวง และนำเสื้อคลุมตัวหลวมคลุมไหล่ให้เขา
ซูโม่อี้รัดเข็มขัดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จู่ๆ ก็สั่งเยี่ยชิงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “เจ้าไปที่จวนใต้เท้าไป๋หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงเดี๋ยวนี้เลย”
“อะ…อะไรนะขอรับ” เยี่ยชิงแทบจะคิดว่าตนเองฟังผิด จึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างทำอะไรไม่ถูก ยามโฉ่ว สามเค่อ เป็นช่วงเวลาที่ทุกครอบครัวกำลังหลับลึก ไปจวนผู้อื่นในเวลานี้…เพื่ออะไรกัน
ซูโม่อี้กลับไม่ได้สังเกตถึงความสงสัยของเยี่ยชิง เขาก้มตัวมุดเข้าไปในรถม้า แล้วเอนกายอย่างเกียจคร้านบนรถ ก่อนที่คนบังคับรถม้าจะบังคับรถม้าออกไป
เยี่ยชิงงงงันเสียจนพูดไม่ออก “…”
เจ้านายท่านนี้พูดให้จบก่อนค่อยไปได้หรือไม่…
หลินหวั่นชิงไม่ได้ฝันมานานแล้ว
ในความฝัน ‘นาง’ ได้ย้อนกลับไปตอนอายุสี่ขวบ และเมืองเซิ่งจิงมีหิมะตกหนัก นางเห็นตนเองยืนอยู่บนถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน พยายามปีนแผ่นหินที่อยู่ข้างๆ ตัว มองไปทางท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยความตกตะลึง
หิมะในความทรงจำครั้งนั้นตกหนักเสียจนน่าตกใจ เด็กๆ อย่างหลินหวั่นชิงเห็นเพียงความขาวโพลนที่อยู่ตรงหน้า อากาศที่สูดเข้าไปทุกลมหายใจเย็นเฉียบเสียจนราวกับมีน้ำแข็งกำลังทิ่มแทงหัวใจ ทั้งยังเหมือนใช้มีดคมๆ กรีดตั้งแต่ลำคอลงมา สุดท้ายก็ตกลงไปในกระเพาะกลายเป็นก้อนที่หนักหน่วง
นั่นเป็นแท่นไม้สูงครึ่งตัวคน บนนั้นไม่ได้มีเพียงท่านพ่อกับท่านแม่ของนางเท่านั้น แต่ยังมีคนในสกุลเซียวอีกยี่สิบเอ็ดคนด้วย
ใช่แล้ว นางไม่ได้แซ่หลิน แต่นางแซ่เซียว
และนางไม่ใช่บุรุษ แต่เป็นสตรี