ห้องนอนในศาลต้าหลี่นั้นสะอาดและงดงาม เยี่ยชิงจุดไม้จันทน์ที่ซูโม่อี้โปรดปรานที่สุด มุ้งขยับพลิ้วไหวเบาๆ กลิ่นหอมลอยวนเวียน
บัดนี้หลินหวั่นชิงจึงได้รู้ว่าแม้ซูโม่อี้จะมีจวนเป็นของตนเอง แต่ก็แทบไม่เคยไปอาศัยอยู่ที่นั่นเลย เพราะเวลาส่วนใหญ่ตลอดทั้งปีเขาอยู่แต่ในศาลต้าหลี่ ที่นี่นอกจากจะเป็นที่ทำงานของเขาแล้วยังเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาวของเขาอีกด้วย
ห้องนอนของซูโม่อี้นั้นเรียบง่ายกะทัดรัดและสะอาดเย็นสบาย แต่ก็มีความแปลกประหลาดชนิดที่อธิบายไม่ถูกเช่นกัน เครื่องเรือนทั้งหมดถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหนังสือจัดเรียงไว้ให้อ่าน แม้แต่พู่กันบนโต๊ะก็จัดเรียงเป็นแถวตามขนาดจากซ้ายไปขวา
มุมปากของหลินหวั่นชิงกระตุก นางคิดในใจว่าคนผู้นี้อาจเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำจริงๆ ในขณะที่กำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้นหนังสือเล่มเล็กที่อยู่ใกล้ๆ มือก็ดึงดูดความสนใจของนาง มันเป็นหนังสือที่ม้วนงอตรงมุม หน้าหนังสือเหลือง มีตัวอักษรบิดเบี้ยวอยู่บนหน้าปก เหมือนลายมือเด็ก นางหยิบขึ้นมาดูอย่างสบายอารมณ์
เยี่ยชิงเดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “นั่นคือหนังสือที่ใต้เท้าเขียนเมื่อตอนอายุแปดขวบ”
หลินหวั่นชิงเปิดดูสองสามหน้าแล้วก็ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่คือหนังสือ ‘อธิบายกฎหมายราชวงศ์ใต้’ หรือ”
เยี่ยชิงไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพูดต่อว่า “ตั้งแต่อายุแปดขวบซื่อจื่อก็ตั้งปณิธานว่าจะอุทิศตนเป็นผู้พิพากษา ทั้งยังพูดเสมอว่าตาข่ายแห่งฟ้าห่างทว่าไม่รั่ว* ทำชั่วก็ต้องถูกลงโทษ และกฎหมายอาญาไม่ได้มีไว้เพื่อการแก้แค้น แต่มีไว้เพื่อให้ผู้ที่กระทำความผิดรู้ว่าพวกเขาผิดพลาดไปแล้ว”
หลินหวั่นชิงได้ยินเช่นนั้นก็เงียบงันไป นางก้มหน้าลงลูบตัวอักษรเล็กๆ บนหน้าหนังสือ…
‘ยินดีที่จะอุทิศตนเป็นผู้พิพากษา ลงโทษคนชั่ว ส่งเสริมคนดี ทำให้คนชั่วถูกประหารชีวิต ร่วมมือกับหมอกำจัดโรครักษายาก
ซูจิ่งเช่อ’
ที่แท้ชื่อรองของเขาคือ ‘จิ่งเช่อ’
ภาพเหตุการณ์ที่ต้องการเห็นในชีวิตของข้าคือสภาพสังคมที่สะอาดบริสุทธิ์ บางทีอาจเกิดจากความซาบซึ้งใจกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่ไร้เดียงสาของจิ่งเช่อ
หลินหวั่นชิงยกมุมปากขึ้นอย่างยากที่จะสังเกตเห็นให้กับซูโม่อี้เป็นครั้งแรก
“น้ำ…” คนบนเตียงพลิกตัวแล้วส่งเสียงพึมพำเบาๆ ผ่านลำคอ
หลินหวั่นชิงเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยชิง กลับเห็นเยี่ยชิงชี้ชาบนโต๊ะให้นางดู จากนั้นจึงหันหลังกลับและปิดประตูเดินจากไป
“…” หลินหวั่นชิงจึงจำต้อง ‘ทำความดี’ จนถึงที่สุด
ซูโม่อี้ดื่มน้ำที่นางยื่นส่งให้แล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
คนบนเตียงนอนหลับอย่างสงบ แสงที่ส่องผ่านมุ้งตกลงบนหน้าผากของเขา ในความงามสมส่วนนั้นมีความงามเย็นตาแบบเฉพาะของผู้เป็นหนอนหนังสือผสมผสานอยู่เล็กน้อย หน้าผาก จมูก คาง หรือแม้กระทั่งรอยหยักของเส้นขอบปากล้วนเหมือนผ่านการคำนวณโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะมากไปอีกสักนิดหรือน้อยไปอีกสักหน่อยก็จะทำลายความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ได้ ทว่าลมหายใจที่สม่ำเสมอนั้นกลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความเย็นชาและความน่าเกรงขามที่ห้ามละเมิด
ดูเหมือนในที่สุดหลินหวั่นชิงก็เข้าใจแล้วว่าชื่อเสียงด้านความรูปงามเป็นอันดับหนึ่งในเมืองเซิ่งจิงของซูโม่อี้นี้มาจากที่ใด จนนางอดที่จะเข้าใกล้อีกนิดไม่ได้
ทันใดนั้นแสงเทียนก็สั่นไหว หลินหวั่นชิงรู้สึกว่ามือของนางกระชับขึ้น เวลาต่อมานางก็อยู่ใต้ร่างของซูโม่อี้…
“ไม่มีทาง…” หลินหวั่นชิงจ้องมองมุ้งและตะขอหยกที่ยังคงสั่นไหวด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก “แค่รู้สึกว่าท่านดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ได้คืบจะเอาศอกเสียแล้ว…”