ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 10-บทที่ 12
บทที่ 11
หลิ่วเหมียนถังในฐานะภรรยาที่ดีจะปล่อยให้สามีนอนหลับไปทั้งที่ตัวเหม็นคลุ้งได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อเห็นชุยจิ่วมีท่าทีไม่พอใจ นางจึงคิดเสียว่ากำลังเอาอกเอาใจเด็กน้อยอยู่ “ท่านพี่นอนเฉยๆ ให้ข้าเช็ดก็พอ ปลอกผ้านวมผืนใหม่ในบ้านที่เอาไปซักยังไม่แห้ง หากติดกลิ่นเหม็นเข้าจะไม่มีผืนใหม่มาเปลี่ยนแล้ว”
ตั้งแต่เล็กจนโตชุยสิงโจวไม่เคยเจอใครพูดกับเขาตรงๆ ว่าตัวเขาเหม็นกลิ่นสุรา จึงอดปรือตาขึ้นมาถลึงตาใส่หลิ่วเหมียนถังไม่ได้ พร้อมเอ่ยห้วนสั้น “ออกไป!”
หากเป็นสาวใช้จวนอ๋องโดนตวาดใส่เช่นนี้ จะต้องหน้าซีดรีบถอยออกไปอย่างแน่นอน
แต่หลิ่วเหมียนถังแค่ถือว่าสามีกำลังเมาสุรา อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ! เวลาดื่มแล้วนิสัยย่อมเปลี่ยนไปบ้าง ต่อให้เป็นสามีที่สุภาพมาโดยตลอดของนางก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
นางกลับทำใจกว้างประหนึ่งไม่เห็นการเสียกิริยาของสามี มือเช็ดผ้าอุ่นลงบนใบหน้าชุยสิงโจวอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ความจริงเหตุใดท่าทีของสามีดูไม่ค่อยดีเช่นนี้ นางเองก็พอจะคาดเดาได้
คาดว่าการตกต่ำมาอยู่ที่ตำบลหลิงเฉวียนเช่นนี้ สำหรับสามีแล้วนับเป็นความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง กิจการดีๆ ของตระกูลล่มจม ไม่ว่ากับบุรุษคนใดก็ล้วนเป็นปมในใจที่ยากจะแก้
แต่การอ้างฤทธิ์สุรามาระบายทุกข์ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด นางจะต้องเกลี้ยกล่อมสามีเสียหน่อย ป้องกันไม่ให้เขาเอาแต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจ จนอาศัยฤทธิ์สุรามาระบายเช่นนี้
“ไม่รู้ว่าสุราข้างนอกใส่อะไรบ้าง ฤทธิ์แรงเสียสุขภาพ หากครั้งหน้าท่านพี่อยากดื่มสุราอีก ข้าจะให้หลี่มามาซื้อสุรามันหวานที่ขายอยู่ในร้านสุราบนถนนมาอุ่นให้ท่านดื่ม รอสุราร้อนๆ ลงท้อง ท่านพี่เองก็มีที่ให้นอนแล้ว ดีกว่าตะลอนอยู่ข้างนอกรับลมเย็นไปเต็มท้อง”
น้ำเสียงของหลิ่วเหมียนถังไพเราะเสนาะหูเข้ากันกับรูปโฉมของนาง ทว่าก็ไม่ใช่ความอ่อนหวานที่จงใจทำ แต่แฝงน้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กๆ ที่ฟังดูจริงใจตรงไปตรงมาจนชวนให้คนผ่อนคลายสบายใจ
ชุยสิงโจวเห็นว่าไล่นางไปไม่สำเร็จจึงหลับตาลงไม่พูดอะไรอีกแล้วปล่อยให้นางเช็ดไป ทุกวันนี้เขายังต้องใช้ประโยชน์จากนาง ไม่ควรทำให้นางนึกสงสัยขึ้นมา
หลิ่วเหมียนถังเห็นสามีอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับตัวอีกก็รู้ว่าอีกฝ่ายรับฟังคำพูดนางเข้าไปในใจแล้ว ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเบาต่อ “ส่วนงานจิปาถะอื่นๆ ท่านพี่ก็ไม่ต้องหงุดหงิด ผู้ใดไม่มีช่วงเวลาม้าสูงโกลนเตี้ย* บ้างเล่า ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่เห็นว่าจะราบรื่นไปทั้งชีวิต แม้บ้านของพวกเราจะไม่ใหญ่โตเท่าตอนอยู่เมืองหลวง แต่ทุกวันนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม หากท่านพี่เหน็ดเหนื่อยกับการดูแลกิจการ แค่ปล่อยร้านกินค่าเช่าที่ก็พอ ข้าลองคำนวณดูแล้ว ต่อให้ไม่ทำการค้า อาศัยแค่เงินค่าเช่า ใช้จ่ายประหยัดหน่อยก็มากพอกับค่าใช้จ่าย…ข้าค่อยไปเรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยจากบรรดาเพื่อนบ้านอีกที ต่อให้ได้เงินไม่มาก แต่ทุกๆ ช่วงหนึ่งยังสามารถซื้อเนื้อมากินได้อยู่ ถึงเวลานั้นไม่ทุกข์ใจเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ท่านพี่เองก็ออกไปเดินหมากเยี่ยมเยือนสหายอย่างสบายใจได้แล้ว”
ประโยคนี้พูดราวกับว่าตนเป็นเทพธิดาชั้นฟ้าจุติลงมาช่วยเหลือหนุ่มเลี้ยงวัวผู้ยากจน ปัญหาทุกข์ใจทุกอย่างจะมลายหายไปดั่งเรื่องแต่งอย่างไรอย่างนั้น
ฟังหลิ่วเหมียนถังพูดจนติดลม ชุยจิ่วกลับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองนางที่กำลังช่วยนวดท้องนวดขาให้เขา
หลิ่วเหมียนถังโดนเขามองจนกระดากอาย ลูบใบหน้าพลางถาม “ท่านพี่มองอะไรอยู่หรือ”
แม้ฤทธิ์สุราของชุยสิงโจวในยามนี้จะเริ่มเลือนหาย แต่ร่างกายยังคงเกียจคร้าน เมื่อได้ยินหลิ่วเหมียนถังถามจึงเอ่ยว่า “ไม่เคยมีใครบอกให้ข้าหยุดพักมาก่อน เลยอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้…ครอบครัวเล็กๆ เองก็มีข้อดีของมัน…”
ประโยคนี้ของเขากึ่งจริงกึ่งเท็จ แต่ความสะท้อนใจในอกกลับเป็นเรื่องจริง มารดาอ่อนแอ ตั้งแต่เด็กๆ เขาก็ต้องแก่งแย่งชิงดีกับบรรดาพี่ชายที่เกิดจากอนุกับพวกอนุทั้งหลายที่ข่มอยู่เหนือศีรษะมารดา
พอได้รับตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา เขาก็ต้องต่อสู้กับบรรดาขุนนางในราชสำนักที่คิดอยากริบคืนที่ดินบรรดาศักดิ์ของเขาต่ออีก
ไม่เคยมีใครพูดกับเขาว่า ‘ไปพักผ่อน ไปเล่นสนุกเถอะ’ มาก่อน กลับมีแต่คนคอยเตือนว่าหากเขาล้มลง ก็จะกลายเป็นต้นไม้ล้มลิงค่างแตกซ่าน** พ่ายทั้งกระดาน อย่าคิดว่าจะได้ฟื้นตัวกลับมาอีก…
มีอยู่ช่วงสั้นๆ ที่จู่ๆ ชุยสิงโจวก็นึกอิจฉาชุยจิ่วขึ้นมา…แม้จะเป็นพ่อค้าตกอับ แต่งกับหญิงสาวที่ชื่อเสียงเสียหาย แต่หากอิงตามคำพูดของแม่นางหลิ่ว เรื่องราวทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายเพียงนั้น ถึงขั้นมีอิสรเสรียิ่งกว่าตระกูลอ๋องตระกูลโหวเสียอีก
ยามชุยสิงโจวช้อนสายตามองหญิงสาวที่อยู่ข้างเตียงอีกครั้ง เปียยาวทัดอยู่หลังใบหูดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ยามยิ้มอ่อนหวาน นัยน์ตาและคิ้วเรียวคล้ายว่ากระจุกรวมไปด้วยหมู่มวลดาราที่สุดขอบฟ้า…
นางสูญเสียความทรงจำไปก็ดี อย่างน้อยก็จดจำเรื่องอัปยศที่พบเจอในรังโจรไม่ได้ รอเรื่องนี้สิ้นสุดเขาจะมอบเงินส่วนหนึ่งให้นาง นางต้องการจะแต่งงานใหม่ หรือจะไปอยู่ในอารามชีก็แล้วแต่นางแล้วกัน…
คิดมาถึงตรงนี้ฤทธิ์สุราพลันตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง ชุยสิงโจวหลับตาลงก่อนจะหลับไปทั้งอย่างนี้
เขาไม่กลัวว่าหญิงสาวผู้นี้จะลอบสังหารอีกต่อไป หากนางตั้งใจจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วน อีกอย่างก็เหมือนกับที่จ้าวเฉวียนพูด หญิงสาวตกต่ำผู้หนึ่งที่หนีออกมาจากรังโจรจะซาบซึ้งในบุญคุณของเขายังแทบไม่ทัน นางจะยังช่วยคนชั่วทำความชั่ว ทำตัวเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเพื่อโจรพวกนั้นไปอีกเพื่ออันใด
วันรุ่งขึ้นเมื่อแสงอรุณทอส่องชุยสิงโจวลืมตาขึ้นมองหลิ่วเหมียนถังที่ซุกตัวนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมกอดตนเอง ภายในใจยิ่งมั่นใจในความอ่อนโยนของนางมากขึ้น
แต่หากไม่ใช่เพราะความเมามาย เขาก็ไม่คิดจะนอนร่วมเตียงกับหญิงสาวผู้นี้อีกจริงๆ
แม้ชื่อเสียงนางจะเสียหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรวันหน้าก็ต้องหาคนฝากชีวิตด้วย หากเรื่องในบ้านหลังนี้แพร่กระจายออกไป หนทางที่นางจะได้แต่งงานใหม่ย่อมลำบากสักหน่อย แต่ถ้าแต่งงานไปไกลก็ไม่เป็นปัญหา…
ปกติชุยสิงโจวเป็นคนมีวินัย เรื่องออกจากบ้านตามอารมณ์ส่วนตัวเฉกเช่นเมื่อคืนนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งนัก
ทุกเช้าหลังตื่นมาเขามักจะรำหมัดออกกำลังกาย หลายปีมานี้นอกจากยุ่งมากจริงๆ ก็ไม่ค่อยขาดการฝึกเท่าไร
วันนี้ตื่นแต่เช้าเขาย่อมออกไปรำหมัดในลานบ้านสักรอบ
เพราะว่าไม่ใช่สนามฝึกชุยสิงโจวจึงเลือกวิชาหมัดสั้นๆ มาออกกำลังไปรอบหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกมิสามัญ รวมเข้ากับความแข็งแกร่งของแต่ละหมัดช่างน่าดูชมอย่างมาก
ตอนหลิ่วเหมียนถังตื่นขึ้นมาไม่เห็นสามีนอนอยู่ข้างๆ ย่อมต้องลงจากเตียงมาสวมรองเท้าพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
นางมองเห็นชุยจิ่วกำลังเหวี่ยงหมัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาอยู่ในสภาพสวมเสื้อบางๆ เหงื่อไหลรินลงมาพอดี