เฉิงตั๋วเห็นเขาร้อนใจจะไปก็ไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร เพียงพยักหน้า พูดว่า “ตกลง” แล้วถอดแหวนน้าวหยกมันแพะขาวที่สวมติดกายตลอดเวลายื่นส่งให้ “รอข้ากลับไปเมืองหลวง เจ้านำของสิ่งนี้ไปหาข้าที่จวนจิ้งหย่วนอ๋อง”
ตงฟางรับมา ประสานมือกล่าวขอบคุณ ก่อนจะสะบัดแส้หวดม้าให้ห้อตะบึงไปในราตรีทันที ถึงขั้นไม่ได้หันไปมองหมิงจีที่อยู่ข้างกายสักครั้ง
เฉิงตั๋วมองตงฟางจากไปไกลแล้วถึงได้หันกลับมามองหมิงจีซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางมองตามทางที่พี่ชายจากไป เฉิงตั๋วกระโดดลงจากหลังม้า ตะโกนเรียกให้นางกลับเข้าค่าย หมิงจียังคงมองต่ออีกแวบหนึ่งถึงได้เดินตามเขากลับเข้าไปในค่ายช้าๆ เฉิงตั๋วยิ้มกล่าวว่า “รออีกสองวันเจ้าตามข้ากลับไปเมืองหลวง อีกไม่เกินครึ่งเดือนก็ได้เจอพี่เจ้าแล้ว”
หมิงจีไม่ได้มองเฉิงตั๋ว เพียงถอนหายใจ “เมื่อก่อนพี่ชายไม่อยู่บ้าน ท่านแม่จากไปแล้วเขาถึงได้กลับมา แต่ยามจะไปไหนก็ไป หม่อมฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาทำอะไรอยู่”
“ปณิธานของบุรุษอยู่ที่โลกกว้าง แม้เขาจะไม่อยู่ข้างกายเจ้า แต่ก็คอยพะวงถึงเจ้าเสมอ” เฉิงตั๋วกล่าว ระหว่างที่พูดคุยกันก็เดินมาถึงใจกลางค่ายแล้ว เฉิงตั๋วหยุดฝีเท้าลง
หมิงจีหยุดยืน ยอบกายเอ่ยขอบคุณ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตัวก่อนแล้วเพคะ”
เฉิงตั๋วกำชับนาง “หากเจ้ามีของอะไรจะเอาไปก็อย่าลืมเก็บให้เรียบร้อย ส่วนนกพิราบของเขาหรือสิ่งของอย่างอื่น หากต้องการจะเอาไป ข้าจะส่งเจ๋ออี้ไปช่วยเจ้า”
หมิงจีอ้าปากกำลังจะพูดอะไร เฉิงตั๋วกลับยกมือขึ้นห้าม “นอกจากนี้ แม่นางหมิงจีก็เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้ากับพวกจ้าวสุ่น อาซือไห่ล้วนสนิทสนมกันดี มีเพียงเวลาเจอข้าเท่านั้นที่จะระมัดระวังตัว ความจริงข้าเองก็เป็นคนเหมือนกับในตอนที่พบเจ้าบนถนนเมืองผิงเหยา ไม่ใช่เสือเสียหน่อย”
หมิงจีหน้าแดง “นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันล่วงเกินท่านอ๋อง เกรงว่าท่านอ๋องจะทรงเอาเรื่อง…”
เฉิงตั๋วหัวเราะ “ข้าเป็นคนใจแคบถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ไม่เป็นไร เจ้าล่วงเกินข้าได้เลยเต็มที่ ข้าไม่เอาโทษกับเจ้า เจ้ารีบกลับกระโจมไปเถอะ ข้ายังมีธุระอีกเล็กน้อย”
หมิงจียิ้มแย้มพยักหน้า สะบัดผมเปียเดินจากไป
ช่วงเวลานี้อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตงฟางนั่งอยู่ในร้านเล็กๆ ข้างจุดพักม้า รู้สึกกระหายน้ำมาก เถ้าแก่ร้านยกน้ำชามาให้ เขาดื่มไปอึกหนึ่ง หลังเดินทางลงใต้ติดต่อกันหลายวัน กำลังม้าไม่เพียงพอ เมื่อวานจึงมาเปลี่ยนม้าที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางล้วนแตกใบเขียวชอุ่ม ทิวทัศน์งดงามสบายตา เขาจึงนั่งพักผ่อนสักเล็กน้อย ก่อนจะเร่งรีบเดินทางต่อ
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านทยอยยกอาหารมาวาง ตงฟางจับตะเกียบกำลังจะคีบกับข้าว ทันใดนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นที่ใต้โต๊ะมีบางอย่างวูบไหว เขาชะงักไป ก่อนคีบผักกินคู่กับหมั่นโถวต่อ จากนั้นขอบโต๊ะก็ปรากฏนิ้วสีดำ ตามมาด้วยเรือนผมยุ่งเหยิง และดวงตาที่กลอกมองไปมา เด็กน้อยที่ต้องการอาหารผู้หนึ่งเกาะอยู่ขอบโต๊ะฝั่งตรงข้ามเขา ยิ้มสู้พร้อมขานเรียก “ฮี่ๆ นายท่าน”
ตงฟางราวกับไม่ได้ยิน กินต่อไป ยามนี้เถ้าแก่ร้านเห็นเด็กคนนี้แล้ว ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ก็หยิบผ้าเช็ดน้ำมันในห้องครัวขึ้นมาปัดไล่เหมือนปัดแมลง “ชิ่วๆ เจ้าขอทานน้อยผู้นี้วิ่งมาที่ร้านผู้อื่นแต่เช้าได้อย่างไร อัปมงคลเสียจริง!”
ตงฟางยังคงคีบกับข้าว เพียงแค่หันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ “เจ้าไม่ต้องสนใจเขา ไปทำงานของเจ้าเถอะ”
เสี่ยวเอ้อร์ประหลาดใจ แต่ในเมื่อลูกค้าไม่ว่าอะไร เขาเองก็ไม่สะดวกจะพูด จึงเดินกลับห้องครัวไปถกกับเถ้าแก่ร้านด้วยความงุนงง
เด็กคนนั้นเห็นตงฟางพูดเช่นนี้ จึงมองไปที่สำรับอาหารบนโต๊ะ สลับกับมองเขา ก่อนจะหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งขึ้นมาตะกละตะกลามกินอย่างรวดเร็ว ขณะกลืนกลับติดคอขึ้นมา จึงคว้าชาของตงฟางมาดื่มไปอึกหนึ่ง หลังดื่มเสร็จก็รินเติมอีกถ้วย ตงฟางเพิ่งกินหมั่นโถวของตนไปได้แค่ครึ่งลูก เด็กน้อยกลับยัดหมั่นโถวทั้งลูกลงท้องไปเรียบร้อยแล้ว
เด็กน้อยลังเลอยู่ชั่วอึดใจก็ยื่นมือออก คิดจะหยิบหมั่นโถวอีก แต่ถูกตงฟางจับข้อมือเอาไว้ เขาร้องขอความเมตตาทันที “นายท่าน ข้าๆ ข้าไม่เอาแล้ว ข้า…”