“ทุกวันนี้วาก็ประสบความสำเร็จแล้ว งานติดตลาดแล้ว บ้านก็ทำเสร็จแล้ว รถก็มีขับแล้ว แถมยังมีเงินเก็บเผื่ออนาคตแล้ว ทำไมไม่พักสมองบ้างล่ะลูก อีกอย่างแม่ก็อยากอุ้มหลานแล้วนะ วาหาแฟนได้แล้วนะลูก”
“วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว ผมกดดันนะครับแม่” ทิวาทำหน้าท้อแท้ใจ
พอชายหนุ่มอายุขึ้นเลขสาม มารดาก็เริ่มพูดเรื่องคนรัก เรื่องลูก และเรื่องสร้างครอบครัวจนเขารู้สึกกดดันทุกครั้งแม้ว่าท่านจะพูดด้วยความนุ่มนวลก็ตาม ทิวาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ อีกอย่างถ้าไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ เขาอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตก็ยังได้ สมัยนี้จะอยู่เป็นโสดก็ไม่เห็นแปลกเลย
“เรานี่แปลกคน หน้าตาก็ดี ออกกำลังกายฟิตหุ่นจนดูดี แต่ก็ไม่รู้จักหาแฟน”
ลดามองลูกชายด้วยความแปลกใจ ปากทิวาบอกว่าไม่อยากดิ้นรนไขว่คว้าหาความรัก ถ้าสักวันเขาจะมีใครสักคนก็คงมีเอง และเขาอยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ท่านกลับรู้สึกว่าคำตอบนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะลึกๆ ลูกชายของท่านอาจจะกำลัง ‘รอใครบางคน’
“อาชีพอย่างผมเจอใครซะที่ไหนล่ะครับแม่ ผมทำงานอยู่หน้าคอมฯ ส่งงานผ่านอีเมล นานๆ จะเจอคนจากสำนักพิมพ์ ไปงานหนังสือก็เจอแค่ บ.ก. ทีมงานไม่กี่คน และนักอ่านเท่านั้น”
“นักอ่านสาวๆ สวยๆ ไม่มีบ้างเหรอลูก”
“มีครับ แต่…ผมรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่”
ทิวารู้สึกว่าถ้าเขาลงเอยกับนักอ่านก็คงไม่ต่างกับดาราที่รักกับแฟนคลับซึ่งเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ลึกๆ ที่สำคัญกว่านั้นเขายังไม่เจอใครที่คิดว่าน่าจะสานความสัมพันธ์ในฐานะคนรักได้
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะไม่มีคนรัก เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาโฟกัสแค่เรื่องงานเขียนจริงๆ เพราะอยากทำหน้าที่แทนบิดาตามสัญญาที่ให้ท่านไว้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต…
บิดาของทิวาเป็นข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ แต่รักการอ่านมาก ในบ้านของเขาจึงมีห้องหนังสือที่เก็บหนังสือเก่าๆ ไว้มากมาย เขาติดนิสัยรักการอ่านจากท่านมาตั้งแต่เด็ก และเพราะรักการอ่านจึงอยากจะมีหนังสือเป็นของตัวเอง ใช่…เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนทั้งๆ ที่ใครก็บอกว่ามันเป็นอาชีพ ‘ไส้แห้ง’
ทิวาหัดเขียนหนังสือทั้งไดอารี่ เรียงความ แต่งกลอน และบทละครมาตั้งแต่เด็ก ทว่าในช่วงนั้นยังไม่ได้เอาจริงเอาจัง แค่เขียนประกวดในงานโรงเรียนเท่านั้น
จนกระทั่งเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและเห็นว่ามีนักเขียนวัยรุ่นมากขึ้น วงการหนังสือเปิดโอกาสให้นักเขียนหน้าใหม่ๆ และเปิดกว้างยิ่งขึ้น เขาจึงเริ่มเอาจริงเอาจังกับการเขียนและเริ่มพัฒนาจากการเขียนบทละครกับเรียงความมาเป็นการเขียนนวนิยาย
แต่การเขียนนวนิยายสักเรื่องให้จบ ผ่านการพิจารณาของสำนักพิมพ์ และประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งในช่วงที่เขากำลังขึ้นปีสอง บิดาของเขาก็ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่สามทำให้งานเขียนของเขาต้องหยุดชะงักเพราะว่าสภาพจิตใจไม่พร้อมจะทำงาน เขาต้องดูแลบิดา ต้องคอยประคับประคองครอบครัวที่กำลังระส่ำระสาย และทำงานพิเศษหารายได้เพราะแม่ต้องดูแลพ่อจนไม่มีเวลาทำขนมขาย
มะเร็งในร่างกายของบิดาลุกลามอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถรักษาให้หายขาด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายคุณหมอถึงกับออกปากบอกให้ทิวากับมารดาทำใจ…
จากนั้นไม่ถึงสองเดือนบิดาก็จากเขากับมารดาไปจริงๆ!
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องมีผลงานวางในร้านหนังสือให้บิดาได้ชื่นชมสักเล่ม แต่ท่านก็เสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จ สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้เขากับมารดาเป็นอย่างมาก ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามจะสานต่อความฝันในการเป็นนักเขียน