สงบใจ? ไฉนชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นยาทำให้คนง่วงนอนล่ะ ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา ขาทั้งสองข้างของนางพลันอ่อนยวบ ร่างกายทรุดตัวล้มลงไป ก่อนจะกระแทกกับพื้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งยื่นแขนมาช้อนร่างนางเข้าสู่อ้อมกอด
“ท่านหลอกข้า…” นางรู้สึกเนื้อตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงแต่ยังฝืนถ่างตาจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง
ต้วนมู่ไป๋ลูบไล้ใบหน้าของนางแผ่วเบาแล้วคลี่ยิ้มบาง “ใครกันหลอกอาจารย์ก่อนว่าอยากอาเจียนจนไม่ยอมกินยาเล่า หืม?”
นางจ้องหน้าเขาเขม็ง อยากสบถด่า อยากกัดคน น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ต้านทานฤทธิ์ยาไม่ไหว สติรับรู้เริ่มเลือนรางไปทุกที
“เพราะเหตุใด…” นางยังซักถามอย่างไม่ยอมแพ้
เขาอุ้มนางขึ้นมา ตอบด้วยเสียงทุ้มแหบพร่า “หลับแล้วจิตวิญญาณจะสงบลงไม่ถึงขั้นแตกสลายไป”
น้ำเสียงนั้นล่องลอยไปไกล สติรับรู้ของพั่วเยวี่ยเลือนราง นางปิดเปลือกตาลงจนได้ จมดิ่งสู่ความขุ่นมัวและมืดมิด หลับสนิทเป็นตาย
เมื่อพั่วเยวี่ยตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เหม่อมองม่านเตียงอยู่พักหนึ่งถึงนึกได้ว่านางหลงกลเข้าแล้ว พลาดท่าดื่มยาสงบใจที่ต้วนมู่ไป๋นำมาให้ จากนั้นก็นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
นางลุกขึ้นนั่งพลางยกมือนวดคลึงตรงหว่างคิ้ว ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับห้องกว้างที่ไม่คุ้นตา ในใจก็ครุ่นคิดว่าที่นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกัน
นางกวาดสายตามองไปรอบข้างอย่างไม่ใส่ใจ จู่ๆ ก็ตกใจตัวแข็งทื่อเพราะมองสบดวงตาอีกคู่หนึ่ง
ขณะที่นางยังนั่งอยู่บนเตียงกลับมีวานรตัวหนึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ ตาใหญ่จ้องมองตาเล็กอยู่เช่นนั้น
พั่วเยวี่ยกำลังจะถามอย่างเย็นชาว่าวานรสมควรตายตัวนี้โผล่มาจากไหนถึงได้บังอาจมาแอบมองนางตอนหลับ เจ้าวานรกลับกระโดดพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน หมุนกายพุ่งออกไปนอกห้องพร้อมร้องตะโกนดังลั่น
“ตื่นแล้ว! ตื่นแล้ว! เซียนหญิงตื่นแล้ว!”
มุมปากของพั่วเยวี่ยกระตุกเล็กน้อย เซียนวานรพูดภาษามนุษย์ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่วานรตัวนั้นรีบร้อนวิ่งออกไปทั้งยังแหกปากตะโกนอย่างบ้าคลั่งผิดปกติ ไม่เข้าใจว่ามันตื่นเต้นเรื่องอะไรอยู่
นางไม่คิดเลยว่าพอเจ้าวานรร้องตะโกนดังลั่นประเดี๋ยวเดียวก็มีสัตว์ป่ากลุ่มหนึ่งกระโดดพรวดพราดเข้ามา มีทั้งนกกระเรียนขาว จิ้งจอกเงิน กระต่ายดำ ยังมีกวางดาวอีกตัว มายืนเบียดเสียดอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาแต่ละคู่จ้องมองนางเป็นประกายร้อนแรง ยื้อแย่งกันพูดภาษามนุษย์ว่า
“เซียนหญิง ท่านนอนเต็มอิ่มหรือยัง”
“เซียนหญิง อยากดื่มน้ำหรือไม่”
“เซียนหญิง รู้สึกหิวหรือยัง”
“เซียนหญิง อยากออกไปเล่นหรือไม่”
“เซียนหญิง อยากไปปลดทุกข์หรือไม่”
พั่วเยวี่ยบื้อใบ้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ สัตว์เซียนเหล่านี้แย่งชิงโอกาสพูดคุยกับนางเป็นคนแรก ดวงตากลอกหมุนไปมาอย่างรวดเร็วขณะจ้องมอง ราวกับว่าในสายตาของพวกมันนางเป็นสัตว์ประหลาดล้ำค่าหายากกระนั้น
ในแดนมารก็มีเหล่าสัตว์มารอย่างงู กิ้งก่า แมงมุมอะไรทำนองนั้น สาเหตุที่เรียกมารว่าเป็นมารก็เพราะต้องประชันความชั่วร้าย ความแข็งแกร่ง ความน่าเกรงขาม จึงไม่มีทางเลือกสัตว์ที่ภายนอกน่ารักน่าเอ็นดูเหล่านั้นมาเป็นสัตว์ทาสรับใช้เด็ดขาด
เมื่อครั้งพั่วเยวี่ยยังอยู่ในแดนมาร เวลาสัตว์มารตนใดพบหน้านางพวกมันล้วนระมัดระวังตัว ค้อมกายคุกเข่าอย่างนอบน้อม เนื่องจากในแดนมารจะใช้ความแข็งแกร่งของพละกำลังเป็นเครื่องมือตัดสินฐานะและชนชั้น กว่านางจะไต่เต้าจากมารตัวกระจ้อยมาถึงตำแหน่งขุนพลเยี่ยนสื่อ กลายเป็นหนึ่งในลูกสมุนคนสำคัญของจอมมารได้ ต้องฝ่าฟันความลำบากมากมายเกินจะบรรยาย
เวลาสัตว์มารพบหน้านางมีแต่จะเจียมเนื้อเจียมตัวหรือหลบหลีกไป ไหนเลยจะกล้าทำเหมือนอย่างสัตว์เซียนในตอนนี้ แต่ละตัวมายืนเบียดเสียดตรงหน้านาง แสดงท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ออกมาโดยไร้จริตมารยา สีหน้าโง่งมคล้ายไม่เคยรู้ว่าโลกกว้างโหดร้ายเพียงใด
พั่วเยวี่ยมองหน้าพวกมันด้วยสายตาเย็นชา แน่นอนว่าเป็นแค่ประกายเย็นเยียบในดวงตา ใบหน้าของนางกลับแต้มรอยยิ้มบางๆ ตอนนี้นางมีฐานะเป็นเยวี่ยเป่าลูกศิษย์ของเซียนกระบี่จึงไม่อาจโบกมือไล่สัตว์เซียนเหล่านี้กระเด็นออกไปราวกับไล่ยุงเหมือนเมื่อก่อนได้
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
นางเพิ่งเอ่ยถามประโยคแรก เหล่าสัตว์เซียนก็รีบแย่งกันตอบโดยพลัน โวยวายจนนางหนวกหูรำคาญ ฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่คำเดียว จนต้องยกมือห้ามปรามให้เงียบเสียงลง