ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ท่านเซียนอย่ามาหลอก บทที่ 3
พั่วเยวี่ยก้มศีรษะลงเพราะไม่อยากให้เขามองเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของตัวเอง
หลังจากเหาะเหินเดินอากาศมาทั้งวัน พอกลับมาถึงเรือนที่พักนางก็สั่งสัตว์เซียนให้เตรียมน้ำ ชำระล้างร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจนสะอาดหมดจด เมื่อนางหยิบคันฉ่องมาส่องดูตัวเองก็สังเกตเห็นข้างลำคอมีรอยแดงอยู่จึงอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
นางต้องการมองเห็นให้ชัดเจนกว่านี้จึงเรียกเจ้าวานรเข้ามาช่วยถือคันฉ่อง จากนั้นนางก็พบว่าบริเวณหลังคอยังมีรอยแดงเล็กๆ ด้วยยิ่งทำให้นางฉงนสงสัย ครั้นเพ่งพินิจอย่างละเอียดแล้วก็เข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที
ไอ้หยา! บุรุษผู้นั้นถึงขั้นแอบกินเต้าหู้ข้าเชียวรึ! ตอนนั้นนางแค่รู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าไร เพราะมัวแต่จดจำสภาพพื้นที่กับสอบถามสิ่งที่ต้องการรู้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าขโมยจุมพิตนาง!
พอคิดถึงท่าทางเสแสร้งของเขานางก็รู้สึกโมโหจนกัดฟันกรอดด้วยความอึดอัดไร้ทางระบาย
พั่วเยวี่ยกลอกตาไปมาจนความคิดหนึ่งพลันผุดวาบขึ้น เมื่อนางเช็ดตัวแห้งสนิท สวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างกับกระโปรงรัดอกพร้อมรองเท้าปักลายเสร็จก็ออกวิ่งตึงตังไปหาต้วนมู่ไป๋
“อาจารย์เจ้าคะ”
นางวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเขาโดยตรง ตอนนี้ต้วนมู่ไป๋เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวคอกลมแขนกว้าง เอนกายนอนอยู่บนตั่งไม้อ่านตำราม้วนหนึ่งอยู่ พอเห็นนางเดินเข้ามานัยน์ตาดำขลับที่ช้อนขึ้นมองก็สาดประกายสว่างวาบ
“เป่าเอ๋อร์ มานี่สิ” เขาตบลงบนตำแหน่งว่างข้างตั่งไม้ส่งสัญญาณให้นางเดินเข้ามานั่ง
เวลานี้ต้วนมู่ไป๋ปลดเครื่องประดับครอบมวยผมออกแล้ว เส้นผมยาวสยายปกคลุมไหล่ ท่าร่างเกียจคร้านไม่มีรังสีเข้มงวดเหมือนเช่นยามกลางวันกลับมีความผ่อนคลายในยามค่ำคืนเพิ่มขึ้นมา ช่างหล่อเหลาทรงเสน่ห์ปานล่มเมือง
พั่วเยวี่ยคิดในใจว่า เชิญท่านเสแสร้งต่อไปเถอะ ดูซิว่าท่านจะเสแสร้งไปได้ถึงเมื่อไร!
นางเดินไปหยุดตรงหน้าเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ ข้าถูกกัดเข้าแล้ว”
ต้วนมู่ไป๋พลันหยุดชะงัก อดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “โอ้ ถูกกัดตรงไหนกันเล่า”
“ตรงนี้เจ้าค่ะ” นางปัดผมยาวสลวยไปทางหนึ่ง พลิกคอเสื้อเล็กน้อยเผยให้เห็นหลังคองามระหงขาวผุดผาด
นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ เรือนกายยังโชยกลิ่นหอมรวยริน หัวไหล่มนนวลเนียนโผล่พ้นร่มผ้าเล็กน้อย รอยแดงบนผิวกายขาวกำลังย้ำเตือนให้บุรุษรู้ว่าขณะเด็ดดมดอกไม้งามยามกลางวันรสชาตินั้นหวานล้ำตรึงใจเพียงใด
ต้วนมู่ไป๋จ้องมองรอยแดง ประกายในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ
“อาจารย์ ท่านดูสิเจ้าคะ ข้าถูกหมัดกัดตั้งหลายครั้ง”
ต้วนมู่ไป๋ชะงักงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เอ่ยปาก
“หมัด?”
“ใช่เจ้าค่ะอาจารย์” พั่วเยวี่ยหมุนตัวครึ่งรอบแล้วเอียงกาย กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสงสัยว่าม้าสวรรค์ตัวนั้นคงไม่ได้อาบน้ำมานานแล้วเป็นแน่ถึงได้มีหมัดบนตัวมัน”
“…” ชายหนุ่มพลันไร้วาจาเอื้อนเอ่ย
“อาจารย์ ท่านต้องตรวจดูหรือไม่เจ้าคะ เจ้าหมัดนี้ร้ายกาจนัก เวลากัดคนกลับไม่รู้ตัวเลย”
ต้วนมู่ไป๋นิ่งเงียบไปประเดี๋ยวหนึ่งก็คลี่ยิ้มจางๆ “อาจารย์มีไอเซียนคุ้มกาย”
พั่วเยวี่ยแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจ “อา ข้าโง่เขลาเอง ลืมไปว่าเซียนทั้งหลายจะมีไอเซียนคุ้มครอง ร้อยพิษไม่กล้ำกราย นับประสาอะไรกับการถูกแมลงกัด” พอกล่าวถึงเรื่องนี้นางก็ปั้นสีหน้าอิจฉา “อาจารย์ ข้าก็อยากขับไล่แมลงป้องกันยุงได้บ้าง ท่านสอนข้าเถอะนะเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่ถูกกัดอีก”
หลังนางออดอ้อนอยู่พักหนึ่งต้วนมู่ไป๋ก็โยนตำราวิชาเซียนเล่มหนึ่งให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อพั่วเยวี่ยได้ตำราเซียนมาครองดวงตาก็ทอประกายเจิดจ้า วันนี้นางอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดวัน ทั้งร่วมชมทิวทัศน์ ทั้งถูกโอบกอด ทั้งถูกขโมยจุมพิต ต่อให้ดาวเด่นประจำหอนางโลมมานั่งเป็นเพื่อนก็ยังต้องตกรางวัลไม่ใช่หรือ ได้ตำราวิชาเซียนจากมือเขาเล่มหนึ่งนับว่าไม่ถูกเอาเปรียบไปเปล่าๆ แล้ว
นางรับตำราวิชาเซียนเอาไว้ กล่าวคำขอบคุณต้วนมู่ไป๋ด้วยสีหน้าแช่มชื่นยินดีก่อนจะรีบร้อนกลับห้องตัวเอง ตั้งใจว่าจะศึกษาตำราตลอดทั้งคืน
ต้วนมู่ไป๋มองส่งนางจากไปแล้วก็หลุดหัวเราะพลางส่ายหน้า เล่ห์อุบายตื้นๆ ที่แม่เด็กน้อยคิดเขามองไม่ออกสิถึงจะแปลก กล้าด่าว่าเขาเป็นหมัด? บัญชีนี้วันหน้าจะทยอยสะสางกับนางแน่นอน
เขาเก็บงำรอยยิ้ม น้ำเสียงจู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบปานน้ำแข็ง
“อาฝู”
อาฝูเป็นชื่อเล่นของสัตว์เซียนวานร เมื่อได้ยินเสียงเรียกขานมันก็พลันปรากฏกาย แต่กลับต้องตกตะลึงกับรังสีกดดันไร้รูปที่แผ่ซ่านมาจากเจ้านายจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างลนลาน
“ท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วย!” อาฝูตกใจจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำความผิดใดกัน
“ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมองเรือนร่างของนาง” น้ำเสียงแม้จะแผ่วเบา ทว่าไอเย็นเยียบที่แฝงอยู่กลับทำให้คนฟังต้องหวาดผวาขนลุกชัน
อาฝูยิ่งตื่นตระหนกจนหมอบกราบราบคาบ คุกเข่าคว่ำหน้าแนบพื้น รังสีกดดันไร้รูปข่มขวัญจนมันพูดอะไรไม่ออก เมื่อมันใกล้จะหายใจไม่ทันแรงกดดันบนร่างกลับเบาหวิวไปอย่างกะทันหัน พลังสายนั้นถูกดึงกลับไปแล้ว
อาฝูหอบหายใจคำโต มองหน้าเจ้านายด้วยความหวาดกลัว หยาดน้ำตาเอ่อคลอ
ต้วนมู่ไป๋จ้องหน้ามันเขม็งอย่างเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ช่างเถอะ เมื่อก่อนที่นี่ไม่เคยมีหญิงสาวคนไหนเข้ามา แม้พวกเจ้าจะกลายร่างเป็นมนุษย์แต่ก็ยังไม่เข้าใจลักษณะนิสัยมนุษย์อีกหลายอย่าง ถือเป็นความสะเพร่าของข้าเอง”
อาฝูฟังไม่เข้าใจเท่าไรนัก ได้แต่มองหน้าผู้เป็นนายอย่างสับสน
“จำเอาไว้ นับจากวันนี้ไปขอแค่เป็นตัวผู้จะไม่มีสิทธิ์สอดส่องห้องนอนของเป่าเอ๋อร์ และยิ่งไม่มีสิทธิ์แอบมองเรือนร่างของนางโดยเด็ดขาด”
อาฝูพยักหน้ารับอย่างร้อนรน แม้จะไม่เข้าใจ แต่เจ้านายสั่งอะไรพวกมันก็พร้อมทำตามอยู่แล้ว
พอเห็นเจ้านายโบกมือสั่งให้ถอยออกไปมันก็รีบถอยหลังเดินออกจากห้องทันทีเพื่อไปแจ้งเตือนสัตว์เซียนทุกตัว
“ท่านเซียน แล้วข้าล่ะ”
เสียงเอ่ยถามเป็นของอามู่ เนื่องจากอามู่ไม่ใช่สัตว์เซียน แต่เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตยืนยาวนับพันปี จึงไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
ต้วนมู่ไป๋ก้มศีรษะมองตอไม้อ้วนป้อม นิ่งเงียบไร้วาจาอยู่สักพักก็สั่งว่า “นอกจากนางจะตกอยู่ในอันตราย ไม่อย่างนั้นห้ามแอบมองเรือนร่างนางส่งเดช”
อามู่ยิ่งงุนงงหนักกว่าเดิม “ท่านก็เป็นตัวผู้ เหตุใดท่านต้องสอดส่องเรือนร่างนางด้วยล่ะขอรับ”
อามู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเขา ย่อมรู้ดีว่าสัมผัสทิพย์ของท่านเซียนกระบี่ติดตามแม่นางเยวี่ยเป่าตลอดเวลา นับตั้งแต่วันนั้นที่เซียนกระบี่อุ้มนางเข้ามาในยอดเขาวั่งเยวี่ย ไม่ว่ายามกลางวันหรือกลางคืนท่านเซียนกระบี่ก็เอาแต่เฝ้ามองแม่นางเยวี่ยเป่า แม้กระทั่งเวลานางเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วท่านเซียนกระบี่ยังช่วยชำระล้างร่างกายให้นาง
“อามู่”
“ขอรับท่านเซียน”
“เรื่องนี้…ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ถ้าหากเยวี่ยเป่ารู้เข้าข้าจะโยนเจ้าเข้ากองเพลิงพิสุทธิ์เผาให้เป็นถ่านไม้หมื่นปี”
อามู่หน้าถอดสีในพริบตา คำพูดประโยคนี้ทำให้มันตกใจจนใบไม้บนร่างชี้ชันขึ้นมา
มันไม่หวาดกลัวไฟธรรมดา แต่หวาดกลัวเพลิงฌานพิสุทธิ์ของท่านเซียนกระบี่ เพลิงพิสุทธิ์นั้นสามารถเผาวิญญาณดั้งเดิมของมันได้ พลังบำเพ็ญเพียรนับพันปีจะอันตรธานหายไป
“อามู่ไม่กล้า ต่อให้ตายอามู่ก็ไม่มีทางบอกคนอื่น!” พอกล่าวจบก็วิ่งตึงตังหนีไป กลายร่างเป็นม้านั่งไปซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงแกล้งตายเสียเลย
ต้วนมู่ไป๋เพ่งมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบตำราขึ้นมา เอนนอนกลับลงไปบนตั่งไม้อย่างเกียจคร้าน แม้สายตาจะจ้องมองตำรา แต่ภาพที่ปรากฏในห้วงความคิดกลับเป็นเงาร่างอรชรของหญิงงามที่กลับถึงห้องแล้ว
อิทธิฤทธิ์ยิ่งสูงส่งเท่าใด สัมผัสทิพย์จะยิ่งขยายกว้างขวาง ขอบเขตสัมผัสครอบคลุมไปทั่วทั้งยอดเขาวั่งเยวี่ย ขอแค่เขาอยากเห็นก็จะเห็นได้หมด
ความเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ สีหน้าทุกห้วงอารมณ์ของนางล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น รวมถึงเรือนร่างของนางไม่มีส่วนใดที่เขาไม่เคยเห็นผ่านตา แม้กระทั่งดวงจิตและวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างเขายังมองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เพียงแค่นางไม่เคยรับรู้ก็เท่านั้น
วันนี้พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนสัตว์พาหนะตัวเดียวกัน ยามนางแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดเขายังไม่ตื่นเต้นยินดีเท่ากับตอนกอดตำราวิชาเซียนเล่มนั้นเลย เด็กสาวคนนี้สองตาจดจ่ออยู่กับตำราวิชาเซียนนานกว่าจ้องมองใบหน้าเขาด้วยซ้ำ
“ช่างไม่รู้จักเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เอาเสียเลย” ต้วนมู่ไป๋ถอนหายใจ น้ำเสียงฟังผิวเผินเหมือนจนใจ กลับแฝงด้วยความรักใคร่ไม่สิ้นสุด
ดวงจันทร์ยามค่ำคืนลอยเด่นบนฟากฟ้า นางนั่งอ่านตำราวิชาเซียน ส่วนเขาเฝ้ามองนางเงียบๆ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.