ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 1-บทที่ 2
บทที่สอง
คนที่เรียกตัวเกาลั่วเสินเข้าวังก็คือไทเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เกายงหรง ญาติผู้พี่หญิงสกุลเดียวกันของเกาลั่วเสิน
หลังจากฟังเกายงหรงพูดจบ เกาลั่วเสินก็ตะลึงงัน ในใจเต็มไปด้วยความงงงวย
เกายงหรงบอก นางหวังว่าเกาลั่วเสินจะรับปากแต่งงานกับหลี่มู่…
หลี่มู่ นามรองจิ้งเฉิน บรรพบุรุษเคยเป็นผู้ว่าการเขตหงหนง เนื่องจากสร้างสมคุณงามความดีเอาไว้มากจึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นกง
เมื่อแผ่นดินถูกข้าศึกยึดครอง ราชวงศ์ต้าอวี๋อพยพข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ บรรพบุรุษสกุลหลี่ไม่สมัครใจจะติดตามลงใต้ จึงพาครอบครัวย้ายกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่อำเภอซวีอี๋ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำไหว
นับแต่ราชวงศ์ทิ้งแผ่นดินจงหยวน และข้ามแม่น้ำฉางเจียงลงมาทางใต้ ดินแดนทางตอนเหนือของแม่น้ำฉางเจียงซึ่งอยู่ตอนใต้ของแม่น้ำไหวก็กลายเป็นสมรภูมิที่ต่อสู้โจมตีกันไปมาของทั้งสองฝ่าย บ้านเมืองวุ่นวายโจรผู้ร้ายชุกชุม ขอเพียงเป็นชาวบ้านชายแดนที่ยังพอมีทางไป ก็พากันหนีไปหมด
หลังจากปู่ของหลี่มู่กลับมาบ้านเกิด ได้สร้างป้อมปราการขึ้นและรับผู้ลี้ภัยที่ไม่มีที่ไปไว้ จัดตั้งกองกำลังทหาร ต่อต้านการโจมตีก่อกวนจากทัพชาวหู และโจรผู้ร้าย ช่วงที่อำนาจกล้าแกร่งที่สุดถึงกับเคยมีกองกำลังทหารเกือบหมื่นนาย
บรรพบุรุษของหลี่มู่ทางหนึ่งก็อาศัยกำลังของตนปกป้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแถบนั้น ทางหนึ่งก็เฝ้ารอให้ราชสำนักนำกองทัพขึ้นเหนือ กอบกู้แผ่นดินจงหยวน
แต่ทว่าหลังจากเฝ้าป้องกันด้วยความยากลำบากอยู่หลายสิบปีก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของกองทัพหลวง พร้อมๆ กับชาวเจี๋ยที่อยู่ทางเหนือก่อตั้งการปกครองขึ้น ในที่สุดป้อมปราการของสกุลหลี่ก็เป็นเช่นน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เดินสู่ความตกต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยี่สิบปีก่อนป้อมปราการของสกุลหลี่ถูกตีแตก บิดาของหลี่มู่เสียชีวิตท่ามกลางความโกลาหล มารดาของหลี่มู่พาเขาที่อายุเพียงสิบขวบในตอนนั้นตามผู้ลี้ภัยหนีตายข้ามแม่น้ำมาถึงเจียงจั่ว ตั้งบ้านเรือนที่เมืองจิงโข่ว เริ่มผ่านวันเวลาไปอย่างยากลำบาก
อายุสิบสามหลี่มู่ก็สมัครเข้าเป็นทหาร เริ่มจากเป็นอู่จ่าง ที่ต่ำที่สุด ค่อยๆ เลื่อนขั้นขึ้นมา ในที่สุดก็ได้เป็นบุคคลที่เป็นแกนนำหลักของกองกำลังทหารอิ้งเทียน
ช่วงสิบกว่าปีนี้เขาได้ยกทัพออกจากเจียงหนานไปสามครั้ง โจมตีซีสู่ หนานจิง และเมืองอื่นที่อยู่ในปกครองของคนทางเหนือ ทยอยยึดคืนดินแดนกว่าครึ่งในแถบเหอหนานรวมถึงเหยี่ยนโจว ขับไล่ชาวหูไปถึงเหอเป่ย
คุณูปการยิ่งใหญ่ในการปราบข้าศึกทางเหนือ เรียกได้ว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า
เมื่อเอ่ยชื่อเขาออกมา ชาวหูได้ยินแล้วเป็นต้องถอยหนี ชาวฮั่นไม่มีใครไม่เงยหน้ามองด้วยความชื่นชม
สองปีก่อนหลี่มู่ซึ่งในเวลานั้นดำรงตำแหน่งข้าหลวงเมืองเหยี่ยนโจว และแม่ทัพใหญ่เจิ้นจวิน กำลังตระเตรียมจะยกทัพไปปราบทางเหนืออีกครั้ง นับเป็นครั้งที่สี่ในชีวิตของเขา และเป็นการโจมตีครั้งที่ใหญ่ที่สุดในแผนการที่วางไว้ ทว่าตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์และปกครองเมืองจิงโจวมาหลายชั่วคนได้ฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้น
ไม่นานกองกำลังฝ่ายกบฏก็รุกโจมตีเข้ามาในเมืองเจี้ยนคัง เพื่อหลีกเลี่ยงคมอาวุธ พี่เขยของเกาลั่วเสิน หรือไท่คังฮ่องเต้ในตอนนั้นได้ถูกบีบบังคับให้หนีออกจากไถเฉิง* ด้วยความตื่นตระหนกเคียดแค้นรวมกับความวิตกกังวลและหวาดกลัว ไม่นานพระองค์ก็ประชวรและสวรรคตไป หลี่มู่ทราบข่าวก็พักแผนการยกทัพไปปราบทางเหนือไว้ชั่วคราว เขารีบยกทัพกลับมา หลังจากปราบกบฏสกุลสวี่จนสงบราบคาบลงแล้วก็รับฮองเฮาเกายงหรงกับองค์รัชทายาทเซียวสวินซึ่งมีพระชันษาไม่ถึงสิบชันษาที่ลี้ภัยอยู่ข้างนอกกลับมา
ปีนั้นเซียวสวินได้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ เกายงหรงเลื่อนขึ้นเป็นไทเฮา ในที่สุดต้าอวี๋ก็กลับคืนสู่ความสงบสุข
แต่เนื่องจากภัยพิบัติในครั้งนี้ นับแต่นั้นอำนาจภายในของราชสำนักได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เหล่าวงศ์ตระกูลขุนนางที่กุมอำนาจราชสำนักอยู่ในมือ มีลูกหลานลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีอำนาจราชศักดิ์และอิทธิพลมากพอที่จะคัดค้านกับราชวงศ์ได้ในอดีตเหล่านั้น หลังจากผ่านการปราบกบฏในครั้งนี้ ล้วนแต่ถูกหลี่มู่กวาดล้างอย่างไม่ไว้หน้า
สกุลสวี่ สกุลลู่ สกุลจู ตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์เคยเป็นผู้นำในราชวงศ์ใต้ ผู้คนในสมัยนั้นต้องแหงนหน้ามองด้วยความเลื่อมใส ยามนี้พลังชีวิตบอบช้ำอย่างหนัก นับวันมีแต่ยิ่งตกต่ำ
หลี่มู่ยึดและเข้าแทนที่ ดำรงตำแหน่งต้าซือหม่า บัญชาการทหารทั้งนอกและใน รั้งตำแหน่งสมุหนายก คุมอำนาจทั้งราชสำนักและฝ่ายทหารทั้งหมด อำนาจและอิทธิพลบรรลุถึงจุดสูงสุดที่ขุนนางผู้หนึ่งจะไปถึงได้
‘อาเจี่ย เรื่องนี้กะทันหันเกินไปแล้ว เหตุใดท่านจึงมีความคิดเช่นนี้ ท่านก็รู้ หลังจากลู่หลาง* จากไป ข้าก็ไม่มีความคิดจะแต่งงานใหม่อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้ากับต้าซือหม่าก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ถ้าเขามีเจตนาจะช่วงชิงบัลลังก์จริง ถึงข้าแต่งให้เขา เขาก็คงไม่ล้มเลิกความคิดเพราะข้าสตรีผู้หนึ่งหรอก’
ในที่สุดเกาลั่วเสินก็ได้สติกลับคืนมา และกล่าวขึ้น
นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก ไม่ใช่คนที่ถูกบิดามารดาทะนุถนอมอยู่ในใจกลางฝ่ามือเช่นเมื่อหลายปีก่อนผู้นั้นอีกแล้ว
สตรีในตระกูลสูงศักดิ์เช่นนาง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดสินใจเรื่องการแต่งงานด้วยตนเอง แต่ไรมาล้วนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลเป็นสำคัญ
ที่เป็นเช่นนางในครานั้นซึ่งได้แต่งกับบุรุษที่ตนปรารถนา ทั้งสองคนต่างถูกตาต้องใจกัน ทั้งยังมีฐานะทัดเทียมกัน นับว่ามีให้พบเห็นน้อยมาก…นางคิดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้จึงได้ทำให้สวรรค์ริษยา เพิ่งแต่งงานได้เพียงปีเดียวสกุลลู่ก็ต้องสูญเสียบุตรหลานที่มีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลไปคนหนึ่ง นางเองก็สูญเสียสามี ต้องเป็นม่ายมาจนทุกวันนี้
หลายปีที่ผ่านมานี้คนที่มาขอแต่งงานกับนางมีมาไม่ขาดสาย แต่คนในสกุลเกาไม่เคยบีบบังคับนาง
วันนี้ในเมื่อเกายงหรงเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว เกาลั่วเสินมีหรือจะไม่รู้สิ่งที่นางคิด นางจึงพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม
‘อาหมี คนอื่นทำไม่ได้ แต่เจ้าน่าจะลองดูได้’
เกายงหรงจับตามองน้องสาวของตน กล่าวเน้นทีละคำ
ดวงตาของเกาลั่วเสินมีประกายงุนงง
‘อาหมี เจ้ายังจำเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนตอนสกุลสวี่ก่อกบฏ เจ้าติดตามข้ากับอดีตฮ่องเต้ลงใต้ แล้วหลี่มู่มาช่วยฝ่าบาทให้รอดพ้นจากอันตรายได้หรือไม่’
เกาลั่วเสินถูกนางเตือนสติ เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดขึ้นมาก็ยังมีความทรงจำอยู่บ้างจริงๆ