ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 13-บทที่ 14
บทที่สิบสาม
ถึงวันก่อนหน้าวันเทศกาลฉงหยาง ไม่เพียงค่ายทหารที่ยังพำนักอยู่นอกเมืองชั่วคราว ผู้คนแทบจะทั้งเมืองเจี้ยนคังต่างพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างคึกคักฮึกเหิม
ลู่เจี่ยนจือ คุณชายใหญ่สกุลลู่เป็นฝ่ายขอเข้าแข่งขันการทดสอบจากเกาเซี่ยงกงพร้อมกับหลี่มู่ในวันเทศกาลฉงหยางด้วยเช่นกัน
ผู้ชนะจะได้เป็นบุตรเขยสกุลเกา
และเกาเซี่ยงกงกำหนดสถานที่ทดสอบทั้งสองคนนั้นไว้บนภูเขาฟู่โจว ถึงตอนนั้นไม่ห้ามราษฎรเข้าชม นับเป็นการแข่งขันคัดเลือกบุตรเขยอย่างเปิดเผย
ผู้หนึ่งเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนางที่มีความสามารถโดดเด่น ไม่เพียงความสามารถด้านการประพันธ์ยอดเยี่ยม ผลงานในการสู้รบก็โดดเด่น เรียกได้ว่ามีความสามารถพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น เป็นอัจฉริยบุคคลของโลก
ผู้หนึ่งมาจากครอบครัวสามัญชน เป็นนายทหารหนุ่มที่มีชื่อเสียงจากการทำศึกใหญ่ที่เจียงเป่ย ได้รับความเคารพเลื่อมใสสนับสนุนจากทหารในกองทัพนับพันนับหมื่น เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในช่วงนี้
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานจากความรู้สึกอันเป็นปรปักษ์ระหว่างตระกูลขุนนางกับสามัญชนคล้ายลุกไหม้และระเบิดออกมาทั้งหมดเพราะเรื่องนี้…
ฟ้าราวกับเป็นใจ วันเทศกาลฉงหยาง ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงปลอดโปร่ง อากาศเย็นสบาย ฟ้ายังไม่สว่าง บริเวณตีนเขาฟู่โจวก็มีผู้คนทยอยกันมาชมการแข่งขันแล้ว คนมากขึ้นทุกทีและเริ่มพากันแสดงความคิดเห็น คาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะ มีคนฉวยโอกาสเปิดการพนันขันต่อ เลือกข้างว่าฝ่ายใดได้ชัยชนะ ถ้าทายถูกก็จะได้รับเงินตามหลักฐานที่มี มีผู้เข้าร่วมพนันด้วยจำนวนมาก
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว ไม่ถึงยามซื่อ เชิงเขาฟู่โจวที่ปกติเงียบเหงาก็ถูกคนที่มาชมการแข่งขันเบียดเสียดกันจนแม้แต่น้ำก็ไหลผ่านไม่ได้ ทุกคนต่างชะเง้อคอรอช่วงเวลาที่เกาเซี่ยงกงคัดเลือกบุตรเขยมาถึง
ยามซื่อ ตามเสียงเปิดทางที่น่าเกรงขาม ฮ่องเต้ซิงผิงก็ออกจากวัง ประทับราชรถภายใต้การห้อมล้อมขององครักษ์และกองทหารเกียรติยศ ในที่สุดก็ปรากฏพระวรกายแล้ว
อาณาประชาราษฎร์พากันคุกเข่าลงรับเสด็จ
เกาเฉียว ลู่กวง รวมทั้งสวี่มี่ต่างอยู่ข้างราชรถเดินเท้าตามมา
เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลฉงหยาง สถานที่ทดสอบในวันนี้จึงกำหนดไว้ที่ภูเขาฟู่โจวซึ่งเป็นสถานที่ปีนเขาที่มีชื่อเสียงบริเวณชานเมืองด้านเหนือ
แท่นชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งตรงเชิงเขา เดิมสร้างขึ้นสำหรับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และขุนนางผู้เรืองอำนาจในเมืองที่ชอบเที่ยวภูเขาและน้ำไว้พักผ่อนตอนปีนเขา วันนี้เปลี่ยนมาเป็นสถานที่ตัดสิน ปูพรมที่พื้นตั้งโต๊ะหลายตัว โต๊ะตัวกลางเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ สองข้างเป็นที่นั่งของเกาเฉียว สวี่มี่ ลู่กวง และคนอื่นๆ เรียงไปตามลำดับ
เกาเฉียวนับแต่ปรากฏตัว สีหน้าก็เคร่งขรึมเป็นพิเศษ ลู่กวงนั่งอยู่ข้างๆ หลังจากเข้านั่งประจำที่ก็มองจ้องสวี่มี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มุมปากมีรอยยิ้มหยันจางๆ
สวี่มี่กลับอารมณ์ดี พูดคุยสนุกสนานอยู่กับขุนนางในราชสำนักคนหนึ่ง กระทั่งผู้ติดตามคนหนึ่งค้อมตัวลงข้างหูเขา บอกเสียงเบาว่า “ซือถู สถานพนันที่ตีนเขาเหล่านั้น คนลงข้างคุณชายลู่ชนะเป็นส่วนใหญ่ขอรับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่มี่เลือนหาย มองไปทางตีนเขาที่มีศีรษะผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด แล้วแค่นเสียงฮึออกมาทางจมูกทีหนึ่ง
ยามซื่อสองเค่อ พร้อมๆ กับเสียงระฆังที่ที่เจ้าหน้าที่พิธีการเคาะตีขึ้น เฝิงเว่ยเจ้าหน้าที่วังหลวงที่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ผู้ดำเนินการในวันนี้ก็ก้าวออกมา ประกาศเปิดการทดสอบ สั่งให้บุรุษสกุลลู่และสกุลหลี่ทั้งสองคนก้าวออกมา ถวายบังคมจักรพรรดิซิงผิง หลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตก็เชิญเกาเฉียวออกมาแถลงหัวข้อที่จะทดสอบ
เกาชียืนอยู่ข้างหลังเกาเฉียว ดวงตามองตรงไม่กะพริบ ครั้นเห็นเกาเฉียวมองมาเขาก็หยิบม้วนกระดาษออกจากแขนเสื้อ สองมือประคองก้าวออกมา
เกาชีเดินมาถึงข้างกายเฝิงเว่ย ทำความเคารพฮ่องเต้ซิงผิง จากนั้นก็หมุนตัวหันหน้าไปทางเหล่าขุนนางบู๊บุ๋นและบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากที่ได้รับอนุญาตให้นั่งเรียงกันอยู่ที่ด้านล่างแท่นชมทัศนียภาพเพื่อชมการแข่งขันอย่างใกล้ชิด สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ประกาศเสียงดัง “หนังสือม้วนนี้เซี่ยงกงเป็นผู้เขียนด้วยตนเอง ก่อนเปิดออกมา นอกจากเซี่ยงกงแล้วก็ไม่มีใครรู้หัวข้อ เซี่ยงกงกล่าวไว้ บุตรเขยสกุลเกาจะต้องมีความสามารถพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น ไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นการทดสอบในครั้งนี้จึงกำหนดไว้สามด่าน”
เขายกแขนข้างหนึ่งชี้ไปยังศาลารับลมหลังหนึ่งที่อยู่บนยอดเขาสูงซึ่งตั้งอยู่ห่างหลายสิบจั้ง ไม่นับว่าไกลมากนัก “ทุกท่านโปรดดู”
ทุกคนมองตามมือเขา พากันแหงนหน้ามองไป ถึงได้สังเกตเห็นว่าบนยอดศาลารับลมมีจูอวี๋ มัดอยู่ช่อหนึ่ง ลมภูเขาพัดมา จูอวี๋ก็แกว่งไกวไปมาอยู่บนยอดศาลา
“เซี่ยงกงกล่าว เพื่อให้เหมาะกับเทศกาลในวันนี้ จึงใช้จูอวี๋เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชนะ ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเริ่มทำการทดสอบพร้อมกัน ใครผ่านด่านทั้งสามได้ก่อน ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาเอาจูอวี๋ลงมา ผู้นั้นก็เป็นบุตรเขยของเซี่ยงกง ผู้แพ้เซี่ยงกงจะมอบเรือนริมทะเลสาบเชวี่ยให้ ถือเป็นการแสดงน้ำใจเล็กน้อย”
เกาชีประกาศจบก็มอบม้วนกระดาษในมือให้กับเฝิงเว่ย
ม้วนกระดาษถูกปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งน้ำมัน
ด้วยชื่อเสียงบารมีของเกาเฉียว ในเมื่อเขาประกาศต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครสงสัยว่าเขาจะแอบปล่อยให้หัวข้อทดสอบรั่วไหลเพื่อจะเลือกบุตรเขยได้ดังใจ
รอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงนกเสียงกา ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองมาที่ม้วนกระดาษในมือเฝิงเว่ยพร้อมกัน
เฝิงเว่ยเปิดม้วนกระดาษออกมาอย่างระมัดระวัง กวาดตาอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วอ่านข้อความที่เขียนอยู่ในนั้นด้วยเสียงอันดังรอบหนึ่ง
วันนี้แม้จะมีเพียงสามหัวข้อ แต่ทั้งหมดกลับกำหนดไว้สี่ด่าน…สองบุ๋นสองบู๊
ด่านทั้งสี่มีดังนี้
ด่านแรกที่ต้องเข้าทดสอบเป็นบุ๋น การทดสอบคือความจำของคนทั้งสอง สถานที่ก็อยู่ที่แท่นชมทัศนียภาพแห่งนี้ ที่นี่เกาเฉียวจะแสดงประโยคความเรียงคู่ขนาน หนึ่งพันตัวอักษรหนึ่งแผ่น ให้ทั้งสองคนอ่านออกเสียง หลังจากจดจำไว้แล้วก็แข่งกันเขียนออกมา ใครเขียนเสร็จในรวดเดียวได้ก่อน ตรวจดูแล้วไม่มีคำผิด ก็ไปด่านที่สองต่อได้เลย ถ้าสะดุดกลางคันหรือมีคำผิด สามารถดูข้อความเดิมได้อีกครั้ง แต่ต้องเริ่มเขียนตั้งแต่ต้นใหม่ ด่านนี้ไม่กำหนดเวลา แต่จำเป็นต้องผ่านด่านนี้ให้ได้จึงจะสามารถไปทดสอบด่านต่อไป
ด่านที่สองด่านบู๊ เป็นอีกด่านที่จำเป็นต้องทดสอบ ที่ทดสอบคือฝีมือการยิงธนู โดยจะตั้งเป้ายิงห่างออกไปสามสิบจั้ง ตรงใจกลางเป้ามีเงินเหรียญติดอยู่เหรียญหนึ่ง ใครสามารถยิงธนูให้หัวธนูพุ่งเข้าไปในรูที่อยู่ตรงกลางเหรียญได้โดยไม่ทำให้เหรียญเสียหายก็ถือว่าผ่าน ไปด่านที่สามต่อไปได้เลย ซึ่งถือเป็นด่านสุดท้ายแล้ว
และเพื่อความยุติธรรม ด่านสุดท้ายจะมีอยู่สองด่าน ให้เลือกเพียงด่านใดด่านหนึ่ง ด่านแรกเป็นการทดสอบความสามารถด้านบุ๋น การอภิปรายถกปัญหา ด่านสองทดสอบความสามารถด้านบู๊ ภูเขาพยัคฆ์ ทั้งสองคนสามารถเลือกด่านใดด่านหนึ่งที่ตนมีความถนัด
ใครสามารถผ่านด่านทั้งสามได้โดยราบรื่น เอาช่อจูอวี๋ที่อยู่บนยอดศาลารับลมมาได้ ผู้นั้นก็คือผู้ชนะในวันนี้
เฝิงเว่ยอ่านหัวข้อทดสอบไปก็มีคนที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการเอาหัวข้อเหล่านี้ไปบอกต่อ ไม่นานก็รู้ไปถึงตีนเขา
ผู้ชมที่อยู่บริเวณตีนเขาเหล่านั้น นอกจากชาวบ้านที่มาชมความสนุกแล้ว ยังมีบุตรหลานตระกูลขุนนางขั้นรองลงไปกับผู้ได้รับการศึกษาเล่าเรียนที่มาจากครอบครัวต่ำต้อย รวมทั้งทหารในกองทัพอีกจำนวนไม่น้อย
ปกติคนเหล่านี้เรียกได้ว่าไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันเลย วันนี้กลับมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพียงแต่แบ่งแยกกลุ่มกันอย่างชัดเจน
ตระกูลขุนนางอยู่ด้านหนึ่ง ครอบครัวต่ำต้อยอยู่ด้านหนึ่ง ตรงกลางมีแม่น้ำกั้นแดนฉู่ฮั่น ว่างเปล่าไม่มีคน
วันนี้เป็นเทศกาลฉงหยางพอดี ที่นี่นอกจากฮ่องเต้และขุนนางชั้นสูงในราชสำนักแล้ว ยังดึงดูดสตรีสูงศักดิ์ที่ได้ยินข่าวให้มาชมการแข่งขันไม่น้อย ในบรรดาคนเหล่านั้นนอกจากองค์หญิงใหญ่ชิงเหอกับลู่ฟูเหรินแล้ว ได้ยินว่ายังมีอวี้หลินหวังเฟยผู้นั้นด้วย
ที่นั่งของบรรดาสตรีสูงศักดิ์ย่อมแยกจากบุรุษ เลือกเอาพื้นที่ราบแห่งหนึ่งตรงไหล่เขาตั้งกระโจมติดม่าน คนนั่งอยู่ข้างใน ใช้ม่านหลากสีปิดคลุมไว้ ข้างในมองเห็นข้างนอก แต่ข้างนอกมองเห็นข้างในไม่ชัดเจน มองจากที่ไกลเพียงเห็นเงาร่างเคลื่อนไหวไปมาตะคุ่มๆ แต่ถ้าโชคดีพอ ตอนลมภูเขาพัดม่านตลบขึ้น ไม่แน่อาจยังพอแอบมองคนที่อยู่ข้างในได้สักคนสองคน
พวกคนเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่อยู่ในหมู่ผู้คน ตอนแรกก็ชะเง้อคอมองมาทางที่เหล่าสตรีสูงศักดิ์อยู่ ทันทีที่ได้ยินหัวข้อการทดสอบทั้งสี่ คนก็ไม่มองแล้ว ทั้งสองด้านต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
บุตรหลานตระกูลขุนนางส่วนใหญ่กำลังเปล่งเสียงร้องด้วยความดีอกดีใจ ส่วนคนจากครอบครัวต่ำต้อยกลับพากันร้องตะโกนว่าเซี่ยงกงออกหัวข้อทดสอบไม่ยุติธรรม เห็นชัดว่าโน้มเอียงไปทางลู่เจี่ยนจือ ส่งเสียงดังโวยวายไม่หยุด
ตีนเขาเป็นเช่นนี้ บนไหล่เขาก็ไม่ต่างกัน
เฝิงเว่ยอ่านหัวข้อจบก็เอาม้วนกระดาษขึ้นถวายฮ่องเต้ซิงผิง เพื่อเป็นประจักษ์พยาน
ลู่กวงระบายลมหายใจยาว อดใจไว้ไม่อยู่ บนใบหน้าปรากฏแววกระหยิ่มใจน้อยๆ