บทที่ห้า
เดือนสามปลายฤดูใบไม้ผลิ นอกเมืองเจี้ยนคังแดดร่มลมเย็น ต้นหญ้าเขียวขจี นกโผบิน
เกาลั่วเสินนั่งอยู่ในรถเทียมวัว ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปเกาะไป๋ลู่
เกาชีซึ่งเป็นพ่อบ้านพาคนในบ้านมาด้วยหลายคน ต่างคอยคุ้มกันรถเทียมวัวทั้งซ้ายขวาหน้าหลังอย่างรอบคอบระมัดระวัง
เว้นเสียแต่มีผู้บังคับรถที่ฝีมือยอดเยี่ยมตั้งใจจะบังคับรถเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ หาไม่ปกติความเร็วในการเคลื่อนตัวของรถเทียมวัวก็จะเชื่องช้า สำหรับคนนั่งอยู่บนรถเปรียบกับรถม้าแล้วจะราบเรียบนุ่มนวลกว่ามาก ได้รับความชื่นชอบจากเหล่าขุนนางที่มีชีวิตอยู่ดีกินดี นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดเวลานี้รถเทียมวัวจึงเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป อีกทั้งในเมืองเจี้ยนคังก็พบเห็นคนขี่ม้าน้อยมาก
แต่กระนั้นเกาชีก็ยังคงระมัดระวังอย่างที่สุด สั่งคนบังคับรถให้เคลื่อนรถช้าหน่อย…และช้าอีกหน่อย
นั่นเป็นเพราะเมื่อสองวันก่อนเกาลั่วเสินไม่ทันระวังลื่นตกลงมาจากชิงช้าในบ้าน โชคดีที่มีหญ้าหอมอ่อนนุ่มดุจเบาะรองอยู่ใต้ชิงช้า บริเวณนั้นเป็นพื้นดินอ่อนนุ่มในฤดูใบไม้ผลิ ตอนนั้นแม้ตัวคนจะหมดสติไป แต่ไม่นานก็ฟื้นขึ้นมา ทั้งไม่เป็นไรมาก กระทั่งเนื้อหนังก็ไม่ได้ถูไถได้รับบาดเจ็บ
แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เกาชีตกใจไม่น้อยแล้ว
ดังนั้นวันนี้เมื่อไม่อาจห้ามเกาลั่วเสินออกจากบ้านได้ ระหว่างทางจึงย่อมต้องรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยกลัวจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรกับนางขึ้นอีก
ตอนนั้นหลังจากลื่นตกแล้วฟื้นขึ้นมา เกาลั่วเสินรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย คนก็งุนๆ งงๆ คล้ายจู่ๆ ก็มีแป้งเปียกยัดเข้ามาในสมอง เลอะๆ เลือนๆ จำได้ว่าฝันถึงบางอย่าง แต่ไม่ว่านางจะพยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
ความรู้สึกคล้ายหลงทางอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบเช่นนี้ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
ตอนนั้นนางเอามือกุมศีรษะ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยไปไม่สนใจแล้ว
เพราะเปรียบกับเหตุไม่คาดคิดเล็กๆ นี้แล้ว นางยังมีเรื่องที่กลัดกลุ้มยิ่งกว่า
กระดิ่งสีเหลืองทองที่คล้องอยู่บนคอวัวตอนนั่นส่งเสียงติงตังๆ ดังเสนาะหูไปตลอดทาง ตามการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของรถเทียมวัว คล้ายกำลังเตือนนางให้รู้ว่าด้านนอกประทุนรถมีทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังงดงามแพรวพราวไปด้วยสีสัน เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน
เกาลั่วเสินกลับไม่มีจิตใจที่จะชื่นชมแม้แต่น้อย
นางหน้านิ่วคิ้วขมวด มือน้อยขาวนุ่มนิ่มนวลเนียนดุจหยกข้างหนึ่งประคองปลายคางเรียวงาม ข้อศอกค้ำยันอยู่บนหน้าต่าง สายตาค่อยๆ เหม่อลอย
เกาลั่วเสินจำได้ว่าปีที่แล้วในช่วงเวลานี้ เพื่อจะเฉลิมฉลองที่ตนอายุครบสิบห้า มารดาที่ยังอยู่ในเรือนรับรองบนเกาะไป๋ลู่ได้จัดงานชุมนุมไหลจอกสุราให้กับนาง
ในวันนั้นเด็กสาวในตระกูลขุนนางทั้งเมืองเจี้ยนคังต่างมาร่วมงานเกือบทั้งหมด
แม้แต่อาเจี่ยที่แต่งงานไปเป็นพระชายาตงหยางหวัง เมื่อหลายปีก่อนก็เร่งรุดกลับจากเขตตงหยางมาโดยเฉพาะ เพื่อมาอวยพรในพิธีรวบผมปักปิ่น ของนาง…งานพิธีสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของเด็กหญิงที่ถูกมองว่าเป็นรองเพียงพิธีแต่งงานเท่านั้น
ลำน้ำใสไหลคดเคี้ยว แช่เท้าในธารน้ำ เสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานดังไม่ขาดหู
ภาพความสนุกสนานอย่างเต็มที่ในวันนั้นคล้ายปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เพียงแต่ผ่านไปไม่นานเรื่องต่างๆ ที่อยู่รอบข้างก็ปรากฏขึ้นมาทีละเรื่องๆ ทำให้คนกลัดกลุ้มรำคาญใจขึ้นมา
ตอนแรกก็มีข่าวมาว่าแคว้นซย่าทางตอนเหนือที่ชาวเจี๋ยคุมอำนาจอยู่ได้จ้องมองมาอย่างละโมบ กำลังลับคมอาวุธเลี้ยงม้าให้อ้วนพี มีความมุ่งหมายจะบุกลงใต้ยึดครองเจียงหนาน ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ท่านอาเกาอวิ่นในฐานะข้าหลวงสวีโจวได้พาเกาอิ้นที่เป็นญาติผู้พี่ของนางขึ้นเหนือไปเขตก่วงหลิง เกณฑ์ทหารเตรียมทำศึก
สงครามระหว่างเหนือใต้พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
เภทภัยมักไม่มาเพียงครั้งเดียว ในเวลาเช่นนี้เชื้อพระวงศ์อย่างหลินชวนหวังก็ก่อกบฏขึ้นตอนฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว กองทัพกบฏโจมตีและยึดครองพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำกั้น ไว้ได้ทั้งหมดในคราเดียว
ทางสกุลสวี่ที่เป็นพระญาตินั้น สวี่มี่พี่ชายของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรับพระบัญชานำทัพไปปราบกบฏ