บทที่เก้า
เกาลั่วเสินสัมผัสได้ จิตใจขอเกาหวนเต็มไปด้วยความเคารพนับถือคนที่เคยช่วยเขาไว้ผู้นี้ กระทั่งถึงขั้นเลื่อมใสศรัทธา
แน่นอนว่าเกาลั่วเสินเองก็รู้สึกขอบคุณซือหม่าแห่งกองทัพที่ชื่อหลี่มู่ผู้นั้นอย่างมาก
แม้เรื่องจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่กระทั่งถึงตอนนี้บางครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมา นางยังคงอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในภายหลังไม่ได้
แต่ก็เพียงแค่นั้นเท่านั้น
นางไม่ได้มีความสนใจจะฟังญาติผู้น้องยกย่องสรรเสริญหลี่มู่ผู้นั้นว่ากล้าหาญเหนือผู้อื่นอย่างไรบ้างต่อหน้าตนสักเท่าไร
คิดว่าบิดาจะต้องชมเชยและให้รางวัลที่เหมาะสมแก่เขาแล้วเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ
ที่นางใส่ใจยิ่งกว่ายังคงเป็นบิดา ท่านอา พี่ชายที่เป็นญาติผู้พี่ อีกทั้ง…ลู่ต้าซยง ลู่เจี่ยนจือ คนที่นางคุ้นเคยและเป็นห่วงทุกคน พวกเขาต่างอยู่ในการทำศึก ใช่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เส้นผมหรือไม่ แล้ววันใดจึงจะกลับมา
นางตัดบทเกาหวน ถามคำถามที่ตนอยากรู้
“ใกล้แล้ว! ข้าได้รับจดหมายถึงครอบครัวของท่านลุง รู้ว่าอีกไม่กี่วันจะกลับมา จึงได้มาที่นี่เพื่อจะรับท่านกับ…”
เขาหยุดลงมา มองเซียวหย่งจยาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
เซียวหย่งจยานั่งเอนพิงอยู่กับพนักพิงที่ข้างหน้าต่างในศาลาริมน้ำหลังนี้ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาส่องกับหน้าต่างชื่นชมเล็บมือสีแดงสดที่ตนเพิ่งลงสีมาเมื่อเช้า นิ้วมือทั้งห้าเรียวงามดุจต้นหอมที่เขียวสด ไม่แพ้ให้กับหญิงสาวอายุน้อย
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่เหี้ยมหาญ หลังจากแต่งให้เกาเฉียวแล้วเนื่องจากใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยจึงได้ถูกคนตำหนิประณามเย้ยหยัน
ในความทรงจำอันเลือนรางในสมัยเด็กของเกาลั่วเสิน ตอนแรกเริ่มดูเหมือนมารดาหาได้เป็นเช่นนี้ ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใดจึงค่อยๆ หลงใหลอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เสื้อผ้าเครื่องประดับไม่ทันไรก็ใช้จ่ายไปมากมาย ลำพังรองเท้าก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยคู่ ลายหัวหงส์ ลายเมฆ หลากสีสัน…รูปทรงต่างๆ หลากหลาย สิ่งทอลายปักงามพร่างพราวประดับกระดองเต่าสีทอง ไม่ก็ประดับหยกไข่มุก หรูหราฟุ่มเฟือยเป็นที่สุด ส่วนใหญ่ก็วางไว้ที่นั่นปล่อยให้ฝุ่นจับ บางคู่ก็ไม่เคยสวมใส่ด้วยซ้ำ
ปกตินอกจากบางครั้งจะสวมชุดคลุมแบบเต๋าแล้ว เวลาที่เหลือนอกนั้นจะแต่งตัวเฉิดฉายสวยสดงดงามกดข่มผู้คนตลอดเวลา แม้ในช่วงที่อยู่ตามลำพังคนเดียวก็ไม่ยกเว้น
ในยามนี้ก็เป็นเช่นนี้
แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาส่องกระทบปิ่นปักผมทองคำที่ส่วนปลายประดับด้วยอำพันรูปงูปักอยู่บนเส้นผมดำขลับที่เกล้าเป็นมวยสูงของนางสาดประกายระยิบระยับ ผิวพรรณบนใบหน้าขาวผุดผาดนวลเนียนแวววาวดุจไข่มุกงามภายใต้แสงอาทิตย์
ดูแล้วเหมือนนางไม่ได้ใส่ใจการสนทนาของพี่สาวน้องชายสองคนที่อยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย
เกาหวนหันไปหานาง กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านป้า หลานรับคำสั่งจากท่านลุงให้มาที่นี่เพื่อรับท่านป้ากับอาเจี่ยกลับไปบ้านด้วยกันขอรับ”
เซียวหย่งจยาไม่แม้แต่จะเลิกเปลือกตาขึ้น “เจ้ารับอาเจี่ยของเจ้ากลับไปก็แล้วกัน ส่วนข้าก็ช่างเถิด! มาๆ ไปๆ หนทางก็ไม่นับว่าใกล้ทำให้คนเหน็ดเหนื่อยยิ่ง”
เกาหวนเห็นเกาลั่วเสินหันหลังให้เซียวหย่งจยา แอบขยิบตาให้ตนก็เข้าใจได้ในทันที รีบก้าวเข้าไปวิงวอนขอร้อง
“ท่านป้า! ท่านลุงสั่งการไว้ในจดหมายเป็นพิเศษจริงๆ ขอรับ หากท่านป้าไม่กลับไป ท่านลุงต้องตำหนิหลานแน่ โดยเฉพาะเรื่องก่อนหน้านี้ท่านลุงก็ยังไม่หายโกรธหลานเลยขอรับ ครั้งนี้ถ้ารับท่านป้ากลับไปไม่ได้อีก เกรงว่าท่านลุงคงยิ่งไม่อยากเห็นหน้าหลาน ท่านป้า ท่านก็สงสารหลานเถิดนะขอรับ!”
นี่ยังไม่เท่าไร ต่อมามีเสียงดังตึง สองขาของเกาหวนคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้ว
เซียวหย่งจยาลดมือที่ชื่นชมอยู่เป็นนานของตนลง หันหน้ามาเลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งที่ตั้งอกตั้งใจเขียนไว้เป็นอย่างดี ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้ม
“ลิ่วหลาง เจ้าก็รู้จักแต่พูดจาหลอกล่อป้า ลุกขึ้นเถิด วันนี้ถึงเจ้าจะคุกเข่าจนหัวเข่าทะลุก็ไม่มีประโยชน์ วางใจเถิด ถึงป้าไม่กลับท่านลุงผู้นั้นของเจ้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก”
เกาหวนแม้จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากเกาเฉียว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงใหญ่ผู้เป็นป้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่เหี้ยมหาญผู้นี้ กลับไม่กล้าทำตัวสนิทสนมหรือกำเริบเสิบสานเกินไป
ได้ยินเช่นนี้เขาจำต้องลุกขึ้นมาจากพื้น มองไปทางเกาลั่วเสิน ท่าทางเหมือนพยายามเต็มที่แล้วก็ได้แต่อับจนปัญญา
“อาเหนียง…” เกาลั่วเสินกัดริมฝีปาก
“เจ้าจะกลับไปพบอาเหยียของเจ้า เช่นนั้นก็ตามหวนเอ๋อร์กลับไปแล้วกัน อาเหนียงจะไปเรียกคนช่วยเก็บของให้เจ้า”