ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 9-บทที่ 10
เกาลั่วเสินเคยชินต่อการกระทำที่หรูหราฟุ่มเฟือยขององค์หญิงใหญ่ผู้เป็นมารดานานแล้ว เดิมทีนั่งอยู่ในตัวรถก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะ ตอนเข้ามาใกล้ถนนอวี้ คนเดินถนนสองฟากข้างก็มากขึ้นทุกที นางมองลอดร่องม่านที่ห้อยลงมาออกไป เห็นคนเดินถนนไม่มีใครไม่มองจ้องรถเทียมวัวคันที่นางกับมารดานั่งอยู่ นึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อบิดามารดาของชาวบ้านหยาบคายที่นอกเมืองเมื่อครู่ก่อนเหล่านั้น ส่วนลึกในใจนางอดรู้สึกอดสูใจไม่ได้ ทั้งรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
นางขดตัวไปข้างหลังเงียบๆ เอนพิงพนักที่ด้านหลัง ในเวลานี้เองก็ได้ยินเสียงล้อรถดังเอี๊ยดอ๊าดมาจากฝั่งตรงข้าม จากนั้นรถเทียมวัวที่นางนั่งอยู่ก็หยุดลง
“เหตุใดไม่ไปต่อแล้วเล่า”
เซียวหย่งจยาลืมตาเอ่ยถามขึ้น
“เรียนองค์หญิงใหญ่ ทางด้านโน้นมีรถผ่านมาคันหนึ่ง ขวางถนนอยู่ ไปไม่ได้ขอรับ” เกาชีตอบอยู่ข้างนอก
“รถของบ้านใดหรือ”
อวี้หลินหวังเฟยมีนามว่า ‘จูจี้เยวี่ย’ ถือกำเนิดในสกุลจู เป็นสหายคนสนิทของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อายุอานามใกล้เคียงกับเซียวหย่งจยา แต่งงานกับอวี้หลินหวังผู้เป็นเชื้อพระวงศ์
อวี้หลินหวังฐานะสูงส่ง ปกติมุ่งมั่นบำเพ็ญพรต ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก จูจี้เยวี่ยจึงมักเข้าวังหลวงเป็นอาจิณ ถ้านับตามลำดับศักดิ์ แม้ตรงกลางจะมีช่วงห่างกันอยู่บ้าง แต่เกาลั่วเสินก็ต้องเรียกนางว่า ‘จิ้นหมู่’
ก่อนหน้านี้ตอนเกาลั่วเสินเข้าวังก็เคยพบจูจี้เยวี่ยอยู่หลายครั้ง
รูปร่างหน้าตาของจูจี้เยวี่ยสู้เซียวหย่งจยาไม่ได้ แต่ก็เกิดมาพร้อมกับดวงตางดงามคู่หนึ่ง เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงในเมืองเจี้ยนคัง กล่าวกันว่าแอบเลี้ยงดูยอดชายงาม ไว้ไม่น้อย
เซียวหย่งจยาพอได้ยินชื่อนี้ ในดวงตาก็มีแววเอือมระอาปรากฏขึ้น เอ่ยเสียงเยียบเย็น “บอกให้นางหลีกทาง!”
มีเสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งตรงข้าม “ข้ายังนึกว่าเป็นผู้ใดกัน ขบวนใหญ่โตเพียงนี้ ที่แท้ก็องค์หญิงใหญ่กลับเข้าเมือง องค์หญิงใหญ่พำนักอยู่บนเกาะไป๋ลู่ตลอดทั้งปี ยากนักจะกลับเข้าเมืองสักครั้ง ไม่ต่างจากแขกที่นานๆ มาครั้งหนึ่ง ข้าได้ยินว่าอีกไม่กี่วันเกาเซี่ยงกงก็จะกลับมาแล้ว ถ้าเขารู้เข้าคงจะดีใจ แต่หากเป็นเพราะข้าขวางทางทำให้สามีภรรยาต้องพบหน้ากันล่าช้าไป ไยมิใช่เป็นความผิดอย่างมหันต์หรือ”
ลมหอบหนึ่งพัดผ่านมา บังเอิญพัดผ้าม่านสองผืนที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเปิดออกพอดี เกาลั่วเสินมองออกไป เห็นรถเทียมวัวที่จูจี้เยวี่ยนั่งอยู่คันนั้นไม่ได้ปิดผ้าม่านด้านหน้าลงมา สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในตัวรถได้ทั้งหมด
จูจี้เยวี่ยนั่งอยู่กลางรถ สวมเสื้อแพรรองเท้าไหม เพียงสวมหมวกเลี่ยมฝังด้วยหยกและมุกที่มีผ้าคลุมบดบังใบหน้าไว้ ด้านหลังผ้าคลุมมองเห็นคิ้วยาวจอนผมยาวดุจปีกจักจั่นรำไร กลับยิ่งทำให้คนอยากจะแอบมองรูปโฉมของนาง
คนเดินถนนที่อยู่ด้านข้างไม่มีใครไม่แย่งชิงกันมอง จูจี้เยวี่ยกลับไม่รู้สึกอะไร ภายใต้เสียงหัวเราะสดใสดุจเสียงระฆัง เพียงได้ยินนางร้องเร่งบ่าวไพร่ให้นำรถเทียมวัวที่ตนนั่งหลบไปที่ข้างถนนก่อน
ครั้นถนนโล่งแล้ว เกาชีก็รีบสั่งการให้คนบังคับรถเดินทางต่อ
ขบวนรถค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้จวนสกุลเกา เกาลั่วเสินลอบมองไปที่มารดา
นางสองตาจับนิ่งอยู่กับม่านที่บดบังสายตาอยู่ หัวไหล่เหยียดตรงแน่ว ท่าทางเฉยเมย ใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ทว่ามือข้างหนึ่งกลับกำหมัดแน่น เส้นโลหิตเล็กๆ ดุจใยแมงมุมที่หลังมือพอจะมองเห็นรำไรอยู่ใต้ผิวหนัง
เล็บมือแหลมหลายเล็บที่เพิ่งลงสีมาเมื่อเช้าแทงลึกเข้าไปในฝ่ามือของนาง นางกลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“อาเหนียง…”
เกาลั่วเสินรู้สึกไม่สบายใจ ดึงชายแขนเสื้อนางพลางร้องเรียกเบาๆ
เซียวหย่งจยาได้สติก็รีบคลายมือออก หันมาส่งยิ้มให้บุตรสาว ปู้เหยา สั่นไหวสาดประกายวิบวับ “ถึงบ้านแล้ว ลงไปเถิด”
สามวันให้หลัง ทัพใหญ่เคลื่อนทัพกลับมาพร้อมด้วยชัยชนะ
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของต้าอวี๋ แต่ไรมาไม่อนุญาตให้กองทัพหยุดพักที่เมืองเจี้ยนคัง ด้วยเหตุนี้ครั้งก่อนที่สวี่มี่ปราบกบฏมีความดีความชอบก็ได้แต่ยกทัพกลับมาที่เมืองตันหยาง รับการเฉลิมฉลองและปูนบำเหน็จจากราชสำนักที่นั่น
แต่ชัยชนะในครั้งนี้ความสำเร็จไม่ธรรมดา สามารถปลุกเร้าจิตใจผู้คนให้ฮึกเหิมได้อย่างแท้จริง
ฮ่องเต้ซิงผิงน้าชายของเกาลั่วเสินไม่เพียงอนุญาตให้ทัพใหญ่เคลื่อนตัวมาถึงเมืองเจี้ยนคังและพักอยู่นอกเมืองชั่วคราว ยังพาขุนนางทั้งหลายทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารออกจากเมืองมาเลี้ยงฉลองให้กองทัพด้วย
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นนับแต่ราชวงศ์ย้ายเมืองหลวงมาที่เจียงจั่ว ช่วงก่อนหน้านี้หลายสิบปีก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้คนทั้งเมืองพากันแห่แหนมาชมอานุภาพของกองกำลังทหาร
เกาลั่วเสินแม้จะไม่มีวาสนาได้เห็น แต่ยังคงจินตนาการถึงบรรยากาศอันยิ่งใหญ่คึกคักที่กำลังดำเนินอยู่ที่นอกเมืองในเวลานี้ได้
แสงอาทิตย์แรงกล้าสาดแสงอยู่บนท้องฟ้า ธงประจำกองทัพแผ่คลุมทั่วท้องฟ้าบดบังแสงตะวัน ทหารหาญหลายหมื่นนายผู้สร้างคุณูปการในการสู้รบอย่างโดดเด่นให้กับบ้านเมืองสวมหมวกเหล็กและเสื้อเกราะ ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ใต้แท่นประทับของฮ่องเต้ที่นอกเมือง รับการตรวจพลจากฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาของราษฎรจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนบิดา ญาติผู้พี่ และสามีในอนาคตของนางก็อยู่ในหมู่คนเหล่านี้ด้วย
เกาลั่วเสินรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนมีญาติมิตรเช่นนี้
ตั้งแต่เช้าตื่นมานางก็ไม่มีแก่ใจจะทำเรื่องอื่นใด พยายามกดข่มจิตใจที่แทบจะทนรอต่อไปไม่ไหว หวังจะได้เห็นบิดาและพวกเขาก้าวเท้าเข้าประตูจวนมาโดยเร็ว
ตั้งแต่เกิดศึกสงคราม บิดาจากจวนสกุลเกาไปบัญชาการทหารที่เจียงเป่ย จนถึงวันนี้นางรู้สึกคล้ายเวลาผ่านไปนานมาก
เกาลั่วเสินคิดถึงพวกเขายิ่งนัก