ไม่ง่ายกว่าจะเช็ดใบหน้าเล็กๆ ที่เหนียวเหนอะหนะจนสะอาดสะอ้าน พอเช็ดหน้าเสร็จอี๋อวี้ก็ชักกลุ้มใจ ผืนนากว้างใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีใครสักคน ในความทรงจำของเด็กหญิงผู้นี้ก็ไม่มีเส้นทางกลับบ้าน หรือนางต้องจับเจ่าเฝ้ารออยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดเด็กคนนี้แอบวิ่งออกมาเอง แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าคนในครอบครัวของนางจะออกตามหาเล่า
เสียงท้องร้องดังโครกครากทำให้อี๋อวี้ว้าวุ่นใจ รอคนน่ะเรื่องเล็ก แต่หิวข้าวนี่สิเรื่องใหญ่ หวังแค่ว่าอย่าให้นานเกินไปนักกว่าที่คนในครอบครัวของเด็กคนนี้จะหาคนเจอ
คิดถึงตรงนี้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงร้องเรียกไกลๆ ระลอกหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองไป เห็นเด็กโตคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาตามคันนาที่เรียงรายเป็นระเบียบตรงเข้ามาหา ระหว่างทางยังย่ำเหยียบรวงข้าวสาลีตายราบไปตั้งเท่าไหร่ก็สุดรู้
“โธ่เสี่ยวอวี้!” เด็กชายวิ่งมาตรงหน้านาง มือหนึ่งเท้าเอวหายใจหอบแฮกๆ มือหนึ่งดึงแขนเล็กๆ พลางพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ “เจ้า…ทำให้ข้าตกใจแทบตาย ข้า…ข้าบอกให้เจ้า…รอข้าอยู่ตรงปากทางหมู่บ้านมิใช่หรือ…ไฉนเจ้าวิ่งมาในทุ่งนาเล่า”
อี๋อวี้นิ่งคิดแล้วไม่ได้อ้าปากพูด ถึงอย่างไรตอนนี้นางเป็นเด็กหญิงที่อายุสี่ขวบแล้วยังพูดไม่เป็น ส่วนเด็กชายพูดติดสำเนียงกวนจงเบื้องหน้านี้ตรงกับคนคนหนึ่งในความทรงจำของเด็กหญิง เขาตัวสูงกว่านางไม่น้อย ท่าทางน่าจะอยู่ในวัยสักแปดเก้าขวบ สวมชุดผ้าหยาบ เรือนผมสีดำรวบขึ้นใช้เชือกผูกผมเส้นหนึ่งรัดไว้กลางกระหม่อม ผิวหน้าที่กรำแดดจนคล้ำเล็กน้อยเป็นสีแดงเรื่อๆ เพราะออกแรงวิ่ง ดวงหน้าน้อยๆ นั่นดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างกับเจ้าหนูเสี่ยวเจิ้งไท่ คนคนนี้น่าจะเป็นหลูจวิ้น พี่รองของนางแล้ว
“ไปเถอะ พวกเรารีบกลับบ้านกัน ไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวท่านแม่กลับมาจากตลาด รู้ว่าข้าวิ่งออกมาไกลแล้วยังพาเจ้ามาด้วย มีหวังฉวยไม้กวาดมาตีข้าตายเป็นแน่”
หลูจวิ้นเปลี่ยนไปจับมือเล็กๆ ที่ดำสกปรกของนาง นางชักมือหลบไม่ทัน น้ำมูกเปรอะเต็มมือเขา แต่เขาแค่กุมกระชับมือนางคล้ายไม่ใส่ใจ ทั้งสองเดินตามหลังกันเลียบเลาะคันดินคับแคบมุ่งหน้าไปทางภูเขา
ออกจากทุ่งนาแล้วเดินต่อไปอีกเกือบหนึ่งเค่อ ถึงมองเห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลนักจากบนเนินเขาเตี้ยๆ จุดหนึ่ง มีดงไม้เขียวขจีรายล้อมอยู่รอบนอก ตรงกลางมีซุ้มประตูใหญ่ก่อจากเสาไม้สองต้นและมุงหลังคาด้วยฟาง แผงรั้วไม้ทอดตัวเป็นแนวออกไปสองข้าง ทางด้านหลังของหมู่บ้านติดกับเทือกเขาเขียวชอุ่มที่มองเห็นจากทุ่งนา ทั่วอาณาบริเวณสะอาดเรียบร้อย ดูท่าทางน่าจะมีคนอยู่อาศัยประมาณยี่สิบกว่าเหย้าเรือน
ขณะนี้อี๋อวี้ยังตัวเล็กอยู่ เดินมาตั้งนานขนาดนี้ย่อมรู้สึกอ่อนเปลี้ยเป็นธรรมดา ทั้งที่ใกล้ถึงรอมร่อ นางกลับรู้สึกขาแข็ง หนังตากระตุกริกๆ จึงก้าวเท้าช้าลงอย่างช่วยไม่ได้ ด้านหลูจวิ้นพลันคลายมือซ้ายที่จับจูงนางไว้ อุ้มนางลอยขึ้นจากพื้นพร้อมกล่าว “เพิ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้เจ้าเป็นเด็กดีเพียงนี้! เหนื่อยแล้วกระมัง พี่รองอุ้มเจ้ากลับไปนะ”
อี๋อวี้อึ้งงันไปครู่หนึ่ง จวบจนเด็กชายย่างเท้าออกเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นางถึงขยับตัวที่แข็งเกร็งอยู่สักหน่อยเอนลงพิงอกเขาอย่างโอนอ่อน สองมือยังอดโอบรอบคอเขาไว้ไม่ได้
นับแต่พบว่าตนเองย้อนกลับสู่อดีตและยอมรับความจริงได้ จนกระทั่งถูกคนในครอบครัวของร่างกายนี้อุ้มเอาไว้ คลับคล้ายว่าความหวาดหวั่นว้าวุ่นใจที่นางทำเป็นลืมไปเสียเริ่มมีทีท่าว่าจะเลือนหายไปแล้ว
นี่ทำให้นางหวนคิดถึงตอนเด็กๆ ที่พอเดินจนเหนื่อยแล้วมักหยุดพักข้างทางคนเดียว มองเด็กคนอื่นที่ซบอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่พี่น้อง ยามนั้นนางยังมโนภาพว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร บัดนี้ดูเหมือนนางพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเหตุใดเด็กที่ถูกอุ้มไว้ล้วนหัวเราะอย่างเบิกบานใจ คงเพราะได้รับความเอาใจใส่สินะ
ตั้งแต่แรกเริ่มนางมองเรื่องการย้อนกลับสู่อดีตนี้จากมุมของตนเองเท่านั้น ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเด็กหญิงที่ถูกนางยึดครองร่างกายไว้ไปอยู่แห่งหนใด แต่พอตอนนี้ได้รับความรักจากคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ความรู้สึกละอายใจถึงผุดขึ้นมาจางๆ
ทว่าสถานการณ์ในยามนี้ นางก็สุดปัญญาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ ถ้าให้เลือกว่าจะใช้ชีวิตเป็นเด็กหญิงคนนี้ต่อไปหรือคืนร่างให้เจ้าของเดิม นางคงไม่ยอมหลีกทางให้แน่นอน นางทำได้เพียงอวยพรให้เด็กหญิงผู้นั้นได้ไปอยู่ในร่างใหม่ที่ดีๆ ไม่ต้องเป็นคนปัญญาอ่อนอีกต่อไป ถ้าจะให้นางรู้สึกผิดในใจมากไปกว่านี้ คงเป็นเช่นคำกล่าวว่ากระต่ายตายหมาจิ้งจอกร้องไห้ เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรนางก็มิใช่คนประเสริฐถึงขั้นเสียสละตนเพื่อผู้อื่น