หลูซื่อนั่งอยู่ในผ้าห่ม แลมองเด็กหญิงที่ก้มหน้างุดอยู่หน้าเตียง ตรงกลางอกปนเปไปด้วยอารมณ์นานัปการ เมื่อรับฟังคำอธิบายต้นสายปลายเหตุของนางจบก็ไม่พูดตอบ เพียงหันหน้ามองบุตรสาวแล้วเริ่มเหม่อลอย
ฟ้ามืดเกินไป อี๋อวี้มิได้สังเกตเห็นสายตาของหลูซื่อ หากแต่กำลังขบคิดเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งได้ยินไป
ที่แท้นับแต่หวังซื่อกับแม่สื่อหวังสองคนมาพูดทาบทามวันนั้นก็วางอุบายเล่นงานหลูซื่อแล้ว จะเพราะเงินทองก็ดีหรือคับแค้นใจก็ช่าง รวมความได้ว่าพวกนางมุ่งหมายจะส่งตัวหลูซื่อไปให้นายตำบลจาง แม่สื่อหวังเป็นคนเจ้าเล่ห์ รู้ว่าใช้ไม้อ่อน หลูซื่อไม่มีทางตอบตกลงแน่ เลยหารือกับหวังซื่อคิดแผนรับมือ
หลังจากกลับไปที่ตำบลจาง แม่สื่อหวังเล่าเรื่องของหลูซื่อให้นายท่านจางฟัง ซ้ำเยินยอรูปโฉมและนิสัยใจคอของหลูซื่อเสียเลิศลอยโดยไม่พูดถึงเรื่องที่นางไม่เต็มใจออกเรือนใหม่สักนิด นายท่านจางฟังแล้วมีใจหมายปองนาง ขอให้แม่สื่อหวังจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ยังไหว้วานให้นำหยกพกมัจฉาคู่ไปมอบต่อแก่หลูซื่อเป็นของแทนใจ
แม่สื่อหวังรับของแทนใจไว้แล้วมาที่หมู่บ้านเค่าซานอีกครั้ง หลังปรึกษากับหวังซื่อ ทั้งคู่ตัดสินใจรอให้ประกาศผลการสอบขุนนางของหลูจื้อออกมาจึงวางแผนกันอีกที ถ้าหลูจื้อสอบไม่ผ่าน ย่อมสะสางได้โดยง่าย แต่ถ้าสอบผ่านก็ต้องให้หลูจื้อจากไปก่อนแล้วค่อยจัดการกับหลูซื่อ ถึงเวลานั้นต่อให้หลูจื้อได้เป็นขุนนางสักตำแหน่งแล้วหวนกลับมา ทุกอย่างก็สายเกินแก้ มารดาของเขาเข้าสู่ประตูเรือนสกุลจางไปแล้ว นายท่านจางกลายเป็นบิดาของเขา หรือเขายังจะเอะอะโวยวายได้อีกเล่า
ฝ่ายนายท่านจางกลับถูกปิดหูปิดตา หากเขารู้ว่าบุตรชายของหลูซื่อเดินทางไปเข้าร่วมการสอบในเมืองหลวง เกรงว่ายังต้องชั่งน้ำหนักเรื่องการแต่งงานคราวนี้อีกสักหน่อย
ส่วนแม่สื่อหวังนั้นปิดบังหลอกลวงทั้งสองฝ่าย ทันทีที่แผนการของนางเป็นผลสำเร็จ ถึงนายท่านจางล่วงรู้ว่าหลูซื่อปฏิเสธการแต่งงาน คงคิดแค่ว่านางผิดคำพูด ไม่ใช่เพราะว่านางไม่ตอบตกลงแต่แรก และยิ่งเมื่อรู้เรื่องของหลูจื้อ ด้วยนิสัยของเขาที่เมื่อเริ่มทำอะไรแล้วก็จะไม่รามือ คงต้องบังคับให้หลูซื่อแต่งงานโดยไม่ไยดีว่านางจะขัดขืน
ความจริงทั้งหมดเป็นดังนี้ หลี่เสี่ยวเหมยยังสารภาพกับพวกนางว่าก่อนหน้านี้ตนเองพูดเท็จ รวมถึงเรื่องที่มาซ่อนหยกพกในเรือนนาง ถึงแม้อี๋อวี้คาดเดาได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินนางพูดออกจากปาก ยังยากจะทำใจยอมรับ ได้แต่รำพึงในใจว่า ใจคนหยั่งยาก รู้หน้าไม่รู้ใจ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งนี้เจ้าบอกให้พวกเพื่อนบ้านเข้าใจสิ จะได้ล้างมลทินให้แม่ข้าด้วย” อี๋อวี้กล่าวอย่างโล่งอก ถ้าหลี่เสี่ยวเหมยเต็มใจเป็นพยานให้ท่านแม่ นางคงไม่อาจผูกใจเจ็บอีกฝ่ายต่อไปได้อีก
ไหนเลยจะคาดคิดว่าหลี่เสี่ยวเหมยได้ยินถ้อยคำของนางแล้ว จะสั่นศีรษะโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันพลางพูด “ไม่ได้ๆ”
“ไม่ได้?” อี๋อวี้อึ้งงันไป จากนั้นไม่โมโหกลับคลายยิ้ม “เหตุใดไม่ได้ หรือว่าเจ้าทำได้ แต่ไม่อาจยอมรับได้?”
“ไม่…ไม่ใช่…” หลี่เสี่ยวเหมยลังเลใจครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากบอกในที่สุด “ข้าเป็นพยานให้พวกเจ้าไม่ได้ ถ้าหาก…ถ้าหากข้าพูดความจริง แม่…แม่ข้าจะให้ข้าออกเรือนไปกับเจ้าขาเป๋แซ่ซุนที่ตำบลจางคนนั้น”
อี๋อวี้เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าหวังซื่อจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่บุตรสาว นางยังคิดขึ้นได้ว่าตอนได้ยินเรื่องนี้ หลี่เสี่ยวเหมยมิได้แสดงท่าทีคัดค้าน ไฉนตอนนี้กลับมีท่าทางแบบนี้ “ก่อนหน้านี้เจ้ารู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าแม่เจ้าตั้งใจจะให้เจ้าแต่งงานกับเขา ทำไมถึงกลัวขึ้นมา”