ความทรงจำในวัยเยาว์ของอี๋อวี้มีแต่ห้องที่สีผนังลอกล่อนกับกำแพงสูงใหญ่มั่นคงของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ราวกับว่านางยังจดจำกลิ่นอับชื้นในอากาศได้จนบัดนี้ ขณะตกอยู่ในภวังค์ นิ้วมือที่ลูบขนลูกเหยี่ยวเบาๆ อยู่ในตอนแรกจิ้มถูกแผลของมันโดยไม่ระวัง ต่อจากนั้นนางรู้สึกเจ็บที่มือกะทันหันจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา เมื่อกลั้นเสียงที่แล่นมาถึงลำคอไว้และดึงสติคืนมา นางรีบหันหน้ามองหลูซื่อในลาน เห็นอีกฝ่ายมิได้สังเกตเห็น ก็ถลึงตาใส่ลูกเหยี่ยวที่จิกนางเต็มแรงเมื่อครู่นี้
ยามนี้เหยี่ยวน้อยสีขาวราวหิมะกำลังอ้าจะงอยสีดำสนิทของมันออก แลบลิ้นเล็กๆ เลียคราบเลือดตรงขอบจะงอยออก อี๋อวี้เห็นรอยเลือดสีแดงสดนั่นแล้ว นึกไปถึงเรื่องที่ดูเหมือนนางจะลืมไปเสียสนิทขึ้นได้ในเวลานี้ นางเห็นลูกเหยี่ยวเลียจุดสีแดงนั่นออกจนหมดแล้ว คล้ายว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ นางสงบใจนิ่งๆ เพ่งมองมันโดยไม่กะพริบตา ผ่านไปนานพักใหญ่ไม่เห็นว่ามันมีอาการตอบสนองผิดแปลกอะไร นางเขี่ยผ้าพันแผลบนตัวลูกเหยี่ยวเปิดออกอย่างเบาไม้เบามือ มองดูอย่างละเอียดโดยไม่นำพาว่ามันจะขัดขืน ครั้นแน่ใจว่าสะเก็ดเลือดยังอยู่เหมือนเดิม บาดแผลก็ยังไม่หายดี ตอนท้ายนางแตะตรงแผลทีหนึ่ง เห็นเจ้าสัตว์ตัวน้อยคิดจิกคนอีก ถึงแน่ใจเกินครึ่งแล้วว่านางไม่ได้ผิดมนุษย์มนาแบบเดียวกับพระถังซานจั้ง
หลังจากยืนยันได้มั่นใจแล้วว่าเลือดของนางไม่บังเกิดผลใดต่อสัตว์ ในใจกลับนึกเสียดายน้อยๆ คงเป็นเพราะความโลภไม่สิ้นสุดเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ทว่าที่มากกว่านั้นคือรู้สึกโชคดีกระมัง ถึงอย่างไรพลังยิ่งมาก ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูง ตอนนี้นางคิดแค่ว่าอยากรับผิดชอบต่อครอบครัวของตนเองเท่านั้น หัวใจของนางไม่กว้างใหญ่นัก นางขอแค่พลังที่ปกป้องคนที่รักได้เท่านั้นเป็นพอ
อี๋อวี้เห็นว่าเรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสรรพคุณประหลาดของเลือดนางให้ได้โดยไวที่สุดเป็นการดี ถือว่าเพิ่มเบี้ยในมือส่วนหนึ่ง และลดความไม่แน่นอนลงส่วนหนึ่ง การควบคุมสิ่งที่ยังไม่รู้รอบๆ ตัวไว้ได้จึงจะปลอดภัยที่สุด
หลายวันนี้อี๋อวี้กลัดกลุ้มใจมาก นับแต่ในเรือนมีลูกเหยี่ยวเพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง กิจวัตรประจำวันของนางนอกจากคัดลายมือกับปักผ้าแล้วยังมีหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นคือหาของกินให้เจ้าเหยี่ยวน้อยฉิงคง เป็นที่รู้กันว่าเหยี่ยวเป็นสัตว์กินเนื้อ สองสามวันก่อนหลูซื่อเอาข้าวโพดป้อนมัน ท่าทางยอมตายไม่ยอมจำนนของมันทำให้นางนึกถึงปัญหาเรื่องอาหารของมันขึ้นได้ เดิมทีครอบครัวนางมิได้มีเงินเหลือเฟืออยู่แล้ว นานๆ ทีถึงได้กินเนื้อสัตว์เดือนละครั้ง นับประสาอะไรกับนกตัวหนึ่ง ท้ายที่สุดยังคงเป็นหลูซื่อเอ่ยขึ้นว่าถ้าพวกนางจะเลี้ยง ‘นก’ ตัวนี้ไว้ก็ต้องรับผิดชอบจับแมลงให้มันกินด้วย
อี๋อวี้อยากให้ลูกนกที่หลูจื้อตั้งชื่อว่า ‘ฉิงคง’ ตัวนี้อยู่ด้วยกันมากๆ ทว่าหนักใจเรื่องจับแมลง หญิงสาวทั่วไปล้วนกลัวแมลงกันทั้งนั้น ถึงนางไม่ค่อยจะกลัวนัก แต่ให้สัมผัสสัตว์พวกนี้อย่างใกล้ชิด นางจนด้วยเกล้าจริงๆ คิดจะให้พี่ชายสองคนช่วยเหลือ พี่ใหญ่ไม่ยินยอมสิ้นเปลืองเวลากับ ‘เรื่องเล็ก’ พรรค์นี้ ฝ่ายพี่รองพอได้ยินว่าต้องหาแมลงก็สนับสนุนมารดาให้ปล่อยฉิงคงกลับเข้าป่าทันที นั่นไม่ใช่เพราะกลัวแมลง เขาพูดยืนยันอยู่คำเดียวว่าการจับแมลงเลี้ยงนกมีแต่พวกเด็กน้อยที่ทำกัน หลังจากอี๋อวี้ได้ฟังเหตุผลของเขาแล้ว หักใจบอกเขาไม่ได้จริงๆ ว่าดูจากพฤติกรรมตามปกติของเขา การให้อาหารนกไม่นับว่าเป็นเรื่องของเด็กน้อยสักเท่าไหร่นะ
สุดท้ายหน้าที่จับแมลงเลี้ยงนกก็ตกเป็นของอี๋อวี้อยู่ดี ขณะนี้นางกำลังต่อสู้กับพวกตั๊กแตนอยู่ในทุ่งนา ไกลออกไปหลูจื้อพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อ่านตำรา มีวัวสีน้ำตาลตัวโตของครอบครัวก้มหัวเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ