ถึงอย่างไรจิตใจของอี๋อวี้ก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวคนหนึ่ง ทั้งรู้ว่าหลี่เสี่ยวเหมยผู้นี้มีนิสัยค่อนข้างเถรตรง ไม่เหมือนกับมารดาที่ชอบระรานผู้อื่น เป็นธรรมดาที่นางจะไม่ถือสาหาความกับเด็กน้อยคนหนึ่งด้วยเรื่องเก่าๆ อีก นอกจากนี้เสี่ยวชุนเถาฝึกปักผ้ากับนางอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งก็ไม่มีอะไรต่างกัน
นางสอนวิธีปักผ้าที่ถ่ายทอดให้คนนอกได้ให้กับอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งเสี่ยวเหมยยังฝึกจำตัวอักษรกับเสี่ยวชุนเถาบ้าง ไปๆ มาๆ เด็กหญิงทั้งสามเริ่มสนิทสนมกัน จนนับได้ว่าเป็นเพื่อนที่ชอบพอกันที่สุดในหมู่เด็กวัยไล่เลี่ยกัน
“พี่เสี่ยวเหมย ท่านมามือเปล่า หรือว่ามิได้มาหัดปักลายใหม่กับข้า แต่ตั้งใจจะขอกินอาหารกลางวันมื้อหนึ่ง” หลังจากนั่งลง อี๋อวี้สังเกตเห็นว่าหลี่เสี่ยวเหมยไม่ได้เอาเครื่องไม้เครื่องมือปักผ้าติดมาด้วย ก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่คงเป็นความคิดของหวังซื่ออีกแล้วเป็นแน่แท้ เพื่อเอารัดเอาเปรียบครอบครัวนางเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งเศษผ้าชิ้นสองชิ้นก็ยังคิดทำ ทว่าเรื่องแบบนี้เห็นบ่อยจนชินตาแล้ว
แต่นางแจ่มแจ้งดีว่าเด็กสาวหน้าแดงก่ำตรงหน้าหาได้เต็มใจทำเช่นนี้ ฉะนั้นพอกระเซ้าคำหนึ่งแล้วก็ไม่กล่าวอะไรอีก นางลุกขึ้นไปหยิบตะกร้าเข็มกับด้ายมาจากตู้ตัวเตี้ยทำจากไม้ฮว่าด้านข้าง เลือกผ้าเนื้อนุ่มๆ ผืนหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย
“ไม่ต้องเอาของดีขนาดนี้หรอก” หลี่เสี่ยวเหมยมองดูผ้าพื้นในมือนางแล้วไม่ได้ยื่นมือรับ เพียงเม้มปากส่ายหน้าเบาๆ
อี๋อวี้ก็ไม่คะยั้นคะยอ นางรู้ว่าถ้าหลี่เสี่ยวเหมยไม่เอาผ้ากลับเรือนไปสักชิ้น ต้องโดนหวังซื่อดุด่ายกใหญ่แน่นอน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานจะรักษาศักดิ์ศรีเล็กน้อยนั่นไว้ นางจะพูดความจริงออกมาก็ใช่ที่ ถึงอย่างไรทุกคนล้วนมีขีดจำกัดที่ไม่อาจแตะต้องได้กันทั้งสิ้น
อี๋อวี้นั่งบนเสื่อเอาผ้าปักธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งขึงกับสะดึงและเลือกด้าย เสร็จแล้วอธิบายวิธีปักลายปลาไนที่จะสอนวันนี้ เพราะเป็นลายที่ค่อนข้างซับซ้อน นางขอให้หลูจื้อวาดภาพปลาไนไว้ล่วงหน้าแผ่นหนึ่ง และหยิบมาให้หลี่เสี่ยวเหมยดูอยู่ขณะนี้ ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดเจนขึ้นไม่น้อย
มาตรว่าจะไม่มีความจำดีเลิศเช่นเดียวกับอี๋อวี้ หลี่เสี่ยวเหมยกลับมีพรสวรรค์ในการปักผ้าอย่างหาตัวจับยาก นางฝึกปรือแค่สองปีก็ปักได้เข้าท่าเข้าทางแล้ว อี๋อวี้เห็นนางยอมทุ่มเทเวลาทั้งมีความชอบในด้านนี้ เลยสอนวิธีปักแบบซื่อชวนขนานแท้ประจำตระกูลที่ไม่ค่อยสำคัญทว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งหลายอย่างให้นางลับหลังหลูซื่อ เช่น การปักผสม การปักปม
“เสี่ยวอวี้ นี่เจ้าเป็นคนวาดหรือ งามจริงๆ” หลี่เสี่ยวเหมยดูภาพปลาไนอย่างละเอียดแล้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้านางด้วยแววตาเลื่อมใส
“ไม่ใช่ พี่ใหญ่ข้าเป็นคนวาด ข้ามีความสามารถด้านนี้ที่ไหนกัน ตัวอักษรยังเขียนได้ไม่ดีเลย” นางไม่ชอบวาดภาพจริงๆ เทียบกับหลูจื้อที่เชี่ยวชาญทั้งวาดภาพเขียนตัวอักษรแล้วห่างชั้นกันลิบลับ
“เอ๊ะ! พี่หลูจื้อเป็นคนวาดหรือ มิน่าถึงงามอย่างนี้”
อี๋อวี้เห็นดวงตาของหลี่เสี่ยวเหมยที่เป็นประกายทุกคราหลังได้ยินชื่อของหลูจื้อแล้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางยังพึงใจในตัวหลูจื้อ ทั้งที่เขามิได้สนใจไยดีนางสักเท่าไร จึงได้แต่สรุปว่าเป็นอารมณ์เพ้อฝันของเด็กสาวที่ปราศจากเหตุผลใดๆ
ตามความเห็นของนาง ระหว่างสองคนนี้ไม่มีความเป็นไปได้ในทางนั้นเลย นั่นไม่ใช่เพราะนางเห็นว่าหลี่เสี่ยวเหมยไม่คู่ควร ถึงหวังซื่อเองก็ตามคงไม่เห็นพ้องให้บุตรสาวแต่งงานกับตระกูลศัตรูเป็นอันขาด ดูเหมือนหลายวันก่อน นางยังได้ยินว่าหวังซื่อมองหาตระกูลผู้มีอันจะกินในละแวกตำบลจาง เตรียมจะให้เสี่ยวเหมยออกเรือนไป ฝ่ายชายมีความประพฤติดีพอสมควร เพียงแต่ขาข้างหนึ่งของเขากะเผลกๆ อยู่บ้าง เป็นเหตุให้การแต่งงานล่าช้ามาหลายปี อายุจวนเจียนยี่สิบแล้วยังไม่ตบแต่งภรรยา
พวกนางคุยเล่นไปปักผ้าไปจนเกือบเที่ยงวันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อี๋อวี้มองดูสีท้องฟ้าแล้วครุ่นคิดว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรดี เช้านี้แม่ไก่ที่ลานด้านหลังออกไข่มาสองใบ ประเดี๋ยวขอให้หลูซื่อทำแกงจืดไข่น้ำให้พวกนางพี่น้องชิมดู