ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินก็เห็นว่ามีเหตุผล อย่างไรหลี่หลิงหว่านก็เป็นแค่เด็กหญิงอายุแปดขวบ มิหนำซ้ำภายใต้การสั่งสอนที่ผ่านมาของตนเอง ในใจหลี่หลิงหว่านย่อมดูถูกโจวซื่ออยู่แล้ว ยามนี้จะมาสนิทสนมกับโจวซื่อได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้ต่อว่าอะไร กลับกันยังเอ่ยกับหลี่หลิงหว่านว่า “เจ้าเพิ่งจะหายป่วย ไหนเลยจะทนความเย็นตลอดทั้งคืนได้ ช่างเถอะ คืนนี้เจ้าไม่ต้องมาคอยเฝ้าคืนข้ามปีแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนดีกว่า”
กล่าวจบก็เรียกบ่าวหญิงอาวุโสให้ส่งหลี่หลิงหว่านกลับไป
หลี่หลิงหว่านคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบเอ่ย “ท่านย่าไม่ต้องเรียกคนไปส่งหลานหรอกเจ้าค่ะ หลานกลับไปพร้อมกับสาวใช้ของหลานก็พอแล้ว”
เมื่อครู่นางสังเกตเห็นหลี่เหวยหยวนแอบออกจากที่นี่ไปเงียบๆ แล้ว นี่จะต้องเป็นเพราะไม่มีใครเล่นหรือสนทนากับเขาเป็นแน่ เขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงได้จากไปก่อน ต้องกลับไปอยู่ในเรือนที่เงียบเหงาเช่นนั้นเพียงลำพังเขาจะรู้สึกอ้างว้างเพียงใด ยามนี้นางก็ถือโอกาสไปส่งความอบอุ่นอันดีแก่เขาเลยแล้วกัน นางจึงตัดสินใจจะไปหาหลี่เหวยหยวน อยู่เป็นเพื่อนเฝ้าคืนข้ามปีด้วยกันกับเขา ถึงยามนั้นความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน
ดั่งคำกล่าวว่า ‘หยาดฝนโปรยปรายเพื่อหล่อเลี้ยงพืชพรรณให้งอกงาม’ การส่งความอบอุ่นนี้มิใช่ต้องกระทำเงียบๆ กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอกหรือ ค่อยๆ ให้ใจเขารู้สึกได้เองในสักวันหนึ่งว่าน้องสามคนนี้ช่างเป็นห่วงเขายิ่งนัก ภายหน้าเขาที่เป็นพี่ชายผู้นี้ก็ต้องทำดีกับนาง ไม่อาจทำร้ายนางได้อีก
หลี่หลิงหว่านคิดไปคิดมาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา อืม ที่สำคัญคือนางรู้สึกว่าตนเองช่างฉลาดเสียจริง
ในเมื่ออยากจะไปเฝ้าคืนข้ามปีกับหลี่เหวยหยวนแล้ว นางก็จำต้องปิดบังเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่า จะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกคนไปส่งนางกลับเรือนได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงยืนกรานไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกคนมา
ยังดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บีบบังคับ ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ก็เป็นคืนข้ามปี ทุกๆ ที่ภายในจวนล้วนจุดโคมไฟสว่างไสว ข้างกายหลี่หลิงหว่านเองก็มีสาวใช้เสี่ยวซานอยู่ นางจึงรู้สึกวางใจไม่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางเพียงแค่กำชับว่าให้หลี่หลิงหว่านระมัดระวัง อย่าได้โดนความเย็นอีก
หลี่หลิงหว่านรับคำเสียงใส จากนั้นจึงให้เสี่ยวซานคลุมเสื้อคลุมสีชมพูสดใส แถบด้านข้างบุด้วยขนจิ้งจอกขาว ในมือถือโคมไฟที่สาวใช้ส่งมาให้ แล้วพาเสี่ยวซานเดินออกจากประตูใหญ่ของเรือนซื่ออันไป ก่อนจะเลี้ยวซ้ายอ้อมไปยังเรือนอันแสนเงียบเหงาของหลี่เหวยหยวน
หลังเดินไปบนพื้นหิมะอย่างทุลักทุเล ใช้เวลากว่าหนึ่งก้านธูป พวกนางก็มาถึงเรือนของหลี่เหวยหยวนในที่สุด
หลี่หลิงหว่านยืนอยู่บนบันได ยกมือขวาที่ใกล้จะแข็งแล้วขึ้นมาจ่อริมฝีปากก่อนพ่นลมหายใจออกมา ให้ความอบอุ่นกับมือสักเล็กน้อย จากนั้นยกมือขึ้นเคาะประตู ทว่าเคาะไปสักพักใหญ่แล้วก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตูให้
ในใจหลี่หลิงหว่านสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเมื่อตามที่นางคิด หลายวันมานี้นางก็ได้แสดงความห่วงใยให้หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วมิใช่หรือ มิหนำซ้ำจากที่เสี่ยวซานบอก ทุกครั้งที่มาส่งถ่านตะกร้านั้นหลี่เหวยหยวนล้วนรับเอาไว้ทั้งสิ้น อย่างน้อยก็แสดงว่าในใจเขามิได้ปฏิเสธนางเช่นที่ผ่านมาอีก แล้วเหตุใดเขากลับมาผลักไสนางไว้ที่นอกประตูอีกครั้งเล่า
ในใจนางกำลังคิดเช่นนี้ก่อนจะได้ยินเสียงเหยียบหิมะสวบสาบดังขึ้นมาจากด้านหลัง นางรีบหันกลับไปมอง
สถานที่แห่งนี้อยู่แยกออกมาอย่างโดดเดี่ยว รอบด้านไม่มีโคมไฟห้อยอยู่แต่อย่างใด โชคดีที่บนพื้นล้วนเต็มไปด้วยหิมะชั้นหนาๆ กองทับถมกัน อาศัยแสงเล็กน้อยจากดวงจันทร์ที่ตกกระทบลงบนหิมะแล้ว ยามที่หลี่หลิงหว่านมองไปก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่มาเป็นหลี่เหวยหยวน
ในมือของเขาเองก็ไม่มีโคมไฟ ทั้งไม่ได้กางร่ม เพียงเดินก้มศีรษะตรงมา เงาร่างโดดเดี่ยวนั้นเดินโซเซบนหิมะมาเพียงลำพัง บนศีรษะมีเกล็ดหิมะกระจัดกระจายร่วงหล่นลงบนร่างของเขา คล้ายกับทั้งร่างของเขาถูกกองทับถมด้วยหิมะอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะนั้นในใจหลี่หลิงหว่านราวกับถูกบางสิ่งทุบตีเข้าอย่างแรง นางรู้สึกว่าหลี่เหวยหยวนช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว ในใจนางยามนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเขา ช่วงเวลาถัดมานางจึงเปิดปากเรียกเขา “พี่ชาย”
แม้หิมะจะตกหนัก ทว่าน้ำเสียงกังวานใสกระจ่างเช่นนี้ของนางยังคงทะลวงผ่านหิมะโปรยปรายมาถึงหูของหลี่เหวยหยวนได้อย่างชัดเจน
เขาเงยหน้าขึ้นมามองทันควัน