ท่านเจ้าอาวาสเป็นภิกษุชั้นสูง กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยามได้พบเขายังต้องเคารพนอบน้อม แต่เมื่อครู่ท่านเจ้าอาวาสอยู่ต่อหน้าหลี่หลิงหว่านกลับเรียกขานนางทุกคำว่า ‘ท่าน’ และเรียกตนเองอย่างถ่อมตนว่า ‘อาตมา’ เมื่อคิดถึงประโยคสนทนาระหว่างพวกเขาเมื่อครู่นี้อย่างละเอียด ฉุนอวี๋ฉีก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ
หรือจะเป็นเช่นที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยจริงๆ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้จักท่านเจ้าอาวาสมาก่อน และท่านเจ้าอาวาสก็แค่เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นบุคคลที่เคยมีบุญคุณต่อเขาเท่านั้น ทว่าเมื่อครู่นางได้เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่งว่าอีกฝ่ายคือท่านเจ้าอาวาสใช่หรือไม่ หากนางไม่เคยพบท่านเจ้าอาวาสมาก่อนจริงๆ เหตุใดเมื่อครู่นางจึงได้เอ่ยปากถามเช่นนั้น หรือในใจนางรู้แต่แรกแล้วว่าท่านเจ้าอาวาสมีหน้าตาเช่นนี้อยู่ก่อน เมื่อครู่นางจึงจดจำได้ในทันทีที่พบ
ฉุนอวี๋ฉีครุ่นคิดจนในตอนท้ายคิ้วเรียวยาวขมวดเข้าหากัน เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ในสมองมีความคิดมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าความคิดไหนก็ล้วนไม่เข้าท่า ไม่ว่าเขาจะคาดเดาอย่างไรหรือหาคำชี้แจงอย่างไรก็ล้วนมีจุดที่ไม่กระจ่าง
เมื่อหลี่เหวยหยวนได้ยินบทสนทนาระหว่างฉุนอวี๋ฉีกับหลี่หลิงหว่านแล้ว ทั้งยังมองเห็นท่าทางขมวดคิ้วไม่กระจ่างของฉุนอวี๋ฉี เขาก็รับรู้ว่าเมื่อครู่ระหว่างหลี่หลิงหว่านกับท่านเจ้าอาวาสจะต้องเอ่ยวาจาบางอย่างที่ทำให้ฉุนอวี๋ฉีสงสัยขึ้นมาแล้วแน่นอน
ผู้คนต่างพูดว่าท่านเจ้าอาวาสรับรู้เรื่องในอดีตและอนาคต และที่หลี่หลิงหว่านรู้ก็ย่อมไม่น้อยไปกว่าที่ท่านเจ้าอาวาสรู้แน่นอน ขณะที่นางกับท่านเจ้าอาวาสอยู่ด้วยกัน วาจาที่เอ่ยออกมาจะต้องมีข้อความชี้นำบางอย่างเป็นแน่ ฉุนอวี๋ฉีซึ่งเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวมากคนหนึ่ง ต่อให้ได้ฟังเพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็สามารถเกิดความสงสัยได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางนึกถึงตัวตนของหลี่หลิงหว่านได้แน่ การที่ฉุนอวี๋ฉียากจะเข้าใจเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งนัก
หลี่เหวยหยวนไม่กังวลว่าฉุนอวี๋ฉีจะมองทะลุปรุโปร่งเรื่องหลี่หลิงหว่านเลยสักนิด ในเมื่อต่อให้ฉุนอวี๋ฉีฉลาดยิ่งกว่านี้ แต่หากไม่ได้ทำความรู้จักกับหลี่หลิงหว่านอย่างลึกซึ้ง เรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างนั้นไม่ว่าอย่างไรฉุนอวี๋ฉีก็คาดเดาไม่ได้แน่
เพียงแต่… หลี่เหวยหยวนหยักยกมุมปากน้อยๆ ก่อนจะมองหลี่หลิงหว่านอย่างจนใจคราหนึ่งพลางคิดว่า หว่านวานของข้าช่างโง่งมเสียจริง เผชิญหน้ากับท่านเจ้าอาวาสและฉุนอวี๋ฉีเช่นนี้ ย่อมต้องถูกพวกเขาเอ่ยวาจาล่อหลอกได้อย่างง่ายดาย
แต่เขากลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หัวใจพลันกระตุก สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย สายตาที่มองหลี่หลิงหว่านก็ค่อยๆ ลุ่มลึกยิ่งขึ้น
หากเป็นเช่นที่ผู้อื่นเอ่ย ท่านเจ้าอาวาสสามารถรับรู้เรื่องราวในอดีตและอนาคตได้จริงๆ อีกทั้งเมื่อครู่มองดูสถานการณ์แล้วท่านเจ้าอาวาสจะต้องเป็นผู้ที่เข้ามาเอ่ยสนทนากับหลี่หลิงหว่านก่อน ท่านเจ้าอาวาสเป็นภิกษุชั้นสูง จะต้องไม่ถูกรูปโฉมของหลี่หลิงหว่านดึงดูดจนเดินมาสนทนากับนางอย่างแน่นอน เช่นนั้นมิใช่เป็นการบอกว่าท่านเจ้าอาวาสรู้ถึงที่มาของหลี่หลิงหว่าน ดังนั้นถึงได้เดินมาสนทนา ถึงขั้นเอ่ยปากถามนางหรือ
คิดมาถึงตรงนี้หลี่เหวยหยวนรู้สึกว่าหัวใจในอกตนเองกำลังเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างสับสน
ความจริงหลายปีมานี้บางครั้งเขาเองก็สงสัยว่าหลี่หลิงหว่านมีความเป็นมาเช่นไรกันแน่ เหตุใดนางจึงรับรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ กระทั่งรู้ถึงจุดจบของแต่ละคน ยามนี้ไม่นึกเลยว่าจะมีผู้ที่รู้ถึงความเป็นมาของหลี่หลิงหว่าน เป็นคนผู้หนึ่งที่เขาสามารถเอื้อมมือไปถึงได้…
มือที่กุมมือหลี่หลิงหว่านพลันบีบแน่น ชั่วขณะนั้นเขามีความคิดหุนหันอยากตามท่านเจ้าอาวาสไปอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านเจ้าอาวาสไม่เต็มใจบอก เขาก็จะหาวิธีไล่ต้อนจนกว่าจะซักถามออกมาได้
หลี่หลิงหว่านยังไม่รู้ตัวว่า ‘สถานะจอมปลอม’ ของตนเองกำลังจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว จู่ๆ ถูกหลี่เหวยหยวนออกแรงบีบมือจนเจ็บขึ้นมา นางจึงรีบเปิดปากเรียกเขา “พี่ชาย”
หลี่เหวยหยวนจึงได้สติกลับมา เขาหันหน้ามามองนาง
เป็นเพราะอากาศร้อน สองแก้มของเด็กสาวจึงแดงระเรื่อ ขณะที่คิ้วงามกลับกำลังขมวดแน่น ทั้งยังกัดริมฝีปากล่าง ท่าทางราวกับกำลังข่มกลั้นต่อความเจ็บปวด
หลี่เหวยหยวนสะดุ้งตกใจ รีบร้อนเอ่ยถาม “หว่านวาน เจ้าเป็นอะไรไป”
เป็นเพราะฉุนอวี๋ฉียังอยู่ใกล้ๆ หลี่หลิงหว่านจึงไม่เอ่ยอะไร นางเพียงแค่เขย่ามือของหลี่เหวยหยวนที่กุมมือนางอยู่
หลี่เหวยหยวนเข้าใจในพริบตา เขารีบคลายมือออก ทั้งยังยกมือนางขึ้นมาดูอย่างละเอียดพร้อมถาม “หว่านวาน เจ็บหรือไม่”
หลี่หลิงหว่านไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับดึงมือตนเองออกมาจากฝ่ามือของเขาแล้วนำไปซ่อนไว้ด้านหลัง
ฉุนอวี๋ฉียังยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลยนะ