รอยยิ้มจริงใจไร้เดียงสาบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงเหมือนเก่า นางถึงขั้นกะพริบดวงตาที่ทั้งกลมโตและสว่างไสวของตนเองเล็กน้อย เอียงศีรษะแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “พี่ชาย พี่มองข้าเช่นนี้ทำไมหรือเจ้าคะ หรือบนใบหน้าข้ามีอะไรอย่างนั้นหรือ” พูดจบนางก็ยกมือลูบใบหน้าตนเองไปมา ขณะเดียวกันก็มองไปที่เขาอย่างสงสัย เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่ชาย ข้าลองลูบดูแล้ว บนใบหน้าข้าก็ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ”
ต่อให้เป็นหลี่เหวยหยวนที่รอบคอบฉลาดเฉลียวเพียงใด ในใจเขายามนี้ก็รู้สึกว่าอ่านคนไม่ขาดอยู่บ้าง
หลี่หลิงหว่านผู้นี้ที่สุดแล้วจริงใจไร้เดียงสาเช่นเปลือกนอกที่นางแสดงออกจริงๆ หรือทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่นางเสแสร้งออกมากัน ถ้าหากทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางแสร้งทำออกมาเท่านั้น นางก็คงจะแสดงเก่งมากจริงๆ
ชั่วขณะนั้นหลี่เหวยหยวนปรารถนาจากใจจริงให้หลี่หลิงหว่านไม่ได้แสร้งทำ อยากให้นางจริงใจไร้เดียงสาดั่งเปลือกนอกที่นางแสดงออกมาจริงๆ แล้วก็เป็นห่วงเขาผู้เป็นพี่ชายคนนี้จากใจจริง
หลี่เหวยหยวนมองหลี่หลิงหว่านสักพักหนึ่ง จู่ๆ เขาก็วางตำราที่ถืออยู่ในมือลงกะทันหัน เดินไปยังห้องโถงหลัก ค้นหากระถางไฟเก่าๆ ที่อยู่ตรงมุมห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วไปหยิบถ่านบางส่วนออกมา ท่าทางอยากจะก่อไฟ
ในตอนที่เขากำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้นั้น สายตาของหลี่หลิงหว่านก็มองไปยังตำราที่วางอยู่เพียงไม่กี่เล่มบนโต๊ะหนังสือเขาอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นตำราพื้นฐานจำพวกสี่ตำราห้าคัมภีร์ ทั้งหมด แม้ตำราจะเก่าขาดแต่ก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ บริเวณมุมตำรายังล้วนเรียบร้อย มองเห็นได้ถึงความรักถนอมที่เจ้าของมีต่อพวกมัน
ทั้งที่หลี่เหวยหยวนอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากถึงเพียงนี้แล้ว ทว่าเขากลับยืนหยัดอ่านตำราเหล่านี้มาโดยตลอด มิหนำซ้ำยังรักถนอมตำราถึงเพียงนี้ มิน่าเขาจึงสามารถสอบผ่านได้อย่างราบรื่นไปจนถึงตำแหน่งเสนาบดี
หลี่หลิงหว่านทอดถอนใจด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ หันหน้ามาก็เห็นหลี่เหวยหยวนยังคงจัดการกับถ่านและกระถางไฟอยู่ตรงนั้น นางคิดๆ แล้วก็เดินไปที่เบื้องหน้าหลี่เหวยหยวน นั่งยองๆ ลงข้างกายเขา มองดูเขาก่อไฟ
ฝีมือในการก่อไฟของหลี่เหวยหยวนดูไม่ชำนาญอย่างมาก สามารถเรียกได้ว่ามือไม้เก้งก้างเสียด้วยซ้ำ หลี่หลิงหว่านนั่งยองๆ อยู่ข้างกายเขานานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เห็นว่าเปลวไฟจะลุกขึ้นมาเลย อย่างมากก็ทำให้มีประกายไฟขึ้นมาได้บ้างเท่านั้น แต่เพียงไม่นานก็ดับไปอีกครั้ง
หลี่หลิงหว่านกลัวว่าหลี่เหวยหยวนจะหงุดหงิด ยิ่งกังวลว่าเขาจะอับอายจนพาลโกรธ ถึงยามนั้นเกรงว่าความผิดทั้งหมดจะล้วนถูกโยนลงมาบนศีรษะนาง ในนิยายนางวางให้หลี่เหวยหยวนเป็นคนมีความคิดลึกซึ้งมาตั้งแต่เด็ก จิตใจของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยววิปริตทีละนิด กับคนวิปริตบิดเบี้ยวคนหนึ่งยังมีเหตุผลอะไรให้คุยด้วยได้อีกเล่า ต่อให้เขาพูดว่าเมฆเป็นสีดำ ท้องฟ้าเป็นสีขาว นางเองก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยปลอบหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย ล้วนได้แต่โทษถ่านพวกนี้ที่ไม่ได้เรื่อง ถึงกับจุดยากเพียงนี้”
หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามองนางคราหนึ่งด้วยสายตาประหนึ่งมองคนปัญญาอ่อน
หลี่หลิงหว่านเห็นแล้วก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
มารดาเถอะ ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะเสียหน้า ถึงได้หาทางลงให้ เจ้ากลับดีนักนะ กล้าใช้สายตามองคนปัญญาอ่อนมามองข้าตรงๆ เชียวหรือ
นางโกรธจนหันศีรษะไปมองทางอื่นอย่างฮึดฮัด ไม่จับจ้องไปที่หลี่เหวยหยวนอีก
มุมปากของหลี่เหวยหยวนหยักโค้งขึ้นน้อยๆ เห็นหลี่หลิงหว่านที่โกรธจนฮึดฮัดเช่นนี้เขาก็อยากจะหัวเราะขึ้นมา