ทว่าเสี่ยวซานกลับไม่กล้านั่ง เพราะสายตาของคุณชายใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามนั้นเย็นชาจนน่าตกใจยิ่งนัก
ดังนั้นเสี่ยวซานจึงส่งเสียงเรียกคุณชายใหญ่หนหนึ่งอย่างตะกุกตะกัก จากนั้นก็เอ่ยกับหลี่หลิงหว่าน “คุณหนู บ่าวแค่ยืนเฉยๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
แต่หลี่หลิงหว่านยังคงดึงตัวนางไว้ “จะยืนได้อย่างไรเล่า ยืนผิงไฟแม้ถึงเท้าก็ไม่ถึงมือ เจ้านั่งลงเถอะ ยื่นทั้งมือและเท้าออกไปข้างกระถางไฟ เช่นนี้เจ้าก็สามารถผิงไฟได้ทั้งตัวแล้ว”
เสี่ยวซานแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว สายตาที่คุณชายใหญ่มองมายังนางเย็นชาถึงที่สุดแล้ว ราวกับว่าหากนางนั่งเมื่อไรเขาก็จะฆ่านางทันที แล้วจะให้นางกล้านั่งได้อย่างไรเล่า
“คุณหนู บ่าวยืนอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
ขณะที่พวกนางสองคนกำลังฉุดรั้งกันไปมา ก็เห็นหลี่เหวยหยวนลุกขึ้นจากเก้าอี้กะทันหัน เขาเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่หลิงหว่านกับเสี่ยวซานมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าหนนี้เขากำลังจะแสดงท่าทีเช่นไรอีก
เพียงไม่นานก็เห็นหลี่เหวยหยวนกลับมาอีกครั้ง ในมือเขายังถือเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กตัวหนึ่งมาด้วย
หลังเดินเข้ามาแล้วเขาก็วางเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นลงข้างกระถางไฟฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไป ทั้งไม่ระบุนามและไม่ระบุแซ่ เพียงเอ่ยห้วนๆ ออกมาว่า “เจ้ามานั่งตรงนี้”
ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่เขายกมาให้หลี่หลิงหว่าน หรือจะเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่หลี่หลิงหว่านยกมาให้นั้น เขาก็ล้วนไม่อยากให้คนอื่นมานั่ง แต่พอเห็นท่าทียืนกรานของหลี่หลิงหว่านแล้ว สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงเดินออกไปยังห้องของจิ่นเหยียนที่อยู่ด้านข้าง ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กอีกตัวหนึ่งออกมาให้เสี่ยวซานนั่ง
เสี่ยวซานเข้าใจความตั้งใจดีของหลี่เหวยหยวน นางย่อกายลงขอบคุณเขาอย่างหวาดหวั่น ทว่านางยังคงไม่กล้านั่งอยู่ดี
เรื่องให้นั่งลงผิงไฟข้างกระถางไฟกับคุณชายใหญ่เช่นนี้แม้แต่คิดนางก็ยังไม่กล้าเลย กลิ่นอายอำมหิตรอบกายคุณชายใหญ่ที่แผ่ออกมาอย่างไร้รูปร่างนั้นมากพอจะทำให้นางเข่าอ่อนได้แล้ว
กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ยังคงดึงเสี่ยวซานมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นซึ่งหลี่เหวยหยวนเพิ่งยกมาให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังหยิบยาทาที่เสี่ยวซานนำมาให้วิ่งไปข้างๆ หลี่เหวยหยวนแล้วเอ่ยถามเขา “พี่ชาย อยากให้ข้าช่วยทายาให้พี่หรือไม่เจ้าคะ”
ความจริงแล้วถึงนางจะถามเขาไปเช่นนี้ แต่ในใจก็ไม่ได้อยากจะช่วยทาให้เขาจริงๆ เสียหน่อย นางย่อมคิดว่าหลี่เหวยหยวนจะต้องปฏิเสธออกมาอย่างแน่นอน เพราะเมื่อครู่เพียงแค่นางเผลอสัมผัสโดนคอเขาไปเล็กน้อย เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาจนเกือบจะเอาไม้คีบปลายทองแดงฟาดศีรษะนางแล้ว
คาดไม่ถึงเลยสักนิดว่านางเพิ่งจะถามจบก็ได้เห็นหลี่เหวยหยวนผงกศีรษะเอ่ยคำว่า “ดี” ออกมาคำหนึ่งอย่างเรียบง่าย
“…”
หลุมที่ตนเองเป็นคนขุดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกระโดดลงไป ดังนั้นนางจึงเปิดฝาตลับยาออกอย่างปลงตก ใช้นิ้วชี้มือขวาป้ายเนื้อยาแก้ฟกช้ำขึ้นมาเล็กน้อย ตั้งใจจะทาลงบนรอยเลือดสองรอยนั้นบนลำคอของหลี่เหวยหยวน
ทว่าที่หลังลำคอของเด็กหนุ่มกลับมีเส้นผมหลายเส้นหลุดออกมาบังรอยแผลไว้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงใช้มือซ้ายปัดเส้นผมเหล่านี้ออก จากนั้นก็อาศัยแสงจากเปลวเทียนด้านข้างป้ายเนื้อยาบนนิ้วชี้มือขวาลงไปบนรอยเลือดสองรอย ก่อนจะใช้นิ้วชี้ค่อยๆ เกลี่ยตัวยาลูบไล้ไปมาบนรอยเลือดอย่างช้าๆ
ยาทาแฝงไปด้วยกลิ่นป้อเหอ อันสดชื่น การเคลื่อนไหวของหลี่หลิงหว่านก็ทั้งแผ่วเบาและอ่อนโยน นางมักจะเอ่ยถามเขาอยู่บ่อยๆ ว่า “พี่ชาย ทำเช่นนี้พี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”
ในใจหลี่เหวยหยวนกำลังครุ่นคิด ไม่ว่านางจะมีเหตุผลอะไรที่เข้ามาใกล้และประจบเขาเช่นนี้ แต่ทั้งหมดนั้นล้วนไม่เป็นไร ขอเพียงในภายภาคหน้านางยังคงเข้าใกล้และประจบเขาเช่นนี้ แม้จะเสแสร้งอยู่แค่ต่อหน้าก็ตาม ทว่าเขายินดียอมรับมัน และในเมื่อยอมรับแล้ว เขาก็จะไม่มีวันปล่อยมือ