หลี่หลิงหว่านเรียกเสี่ยวซานพร้อมเอ่ยสั่ง “เจ้าไปบอกที่ห้องครัวหน่อย ให้พวกนางต้มน้ำขิงชามหนึ่งมาให้ข้าดื่ม”
เสี่ยวซานเห็นใบหน้านางมีสีแดงระเรื่อผิดปกติ ในใจก็ตื่นตระหนกจึงรีบเอ่ยถาม “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ!”
“ข้ามีไข้นิดหน่อย แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ดื่มน้ำขิงสักชามให้ขับเหงื่อออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว” หลี่หลิงหว่านหลับตาลงอีกครั้ง บนใบหน้ามีอาการเหนื่อยล้าอยู่บ้าง “เจ้าวิ่งไปห้องครัวสักรอบเถอะ ก่อนออกไปก็เรียกเสี่ยวอวี้เข้ามาดูแลข้าด้วย”
เมื่อเย็นวานฮว่าผิงมาขอลาหยุด บอกว่าร่างกายมารดาของนางไม่ค่อยจะดี อยากกลับไปอยู่ข้างกายมารดาสักสองวัน หลี่หลิงหว่านอนุญาตแล้ว ยามนี้ในเรือนอี๋เหอจึงมีสาวใช้ที่คอยรับใช้ข้างกายหลี่หลิงหว่านเพียงแค่เสี่ยวซานกับเสี่ยวอวี้สองคนเท่านั้น
เสี่ยวซานรีบรับคำแล้วออกไปเรียกเสี่ยวอวี้เข้ามา ส่วนตนก็หยิบร่มกระดาษเคลือบน้ำมันกางเดินออกจากเรือน มุ่งหน้าไปทางห้องครัวอย่างทุลักทุเล
เสี่ยวซานมาถึงห้องครัวแล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างจิ่นเหยียนกับป้าจางคนของห้องครัวเข้าพอดี
เสี่ยวซานเก็บร่มกระดาษเคลือบน้ำมันในมือวางพิงไว้ข้างประตู จากนั้นค่อยๆ ย่องเดินแล้วยื่นหน้าเข้าไปสำรวจความเคลื่อนไหวภายใน พร้อมกับเอียงหูตั้งใจฟังว่าจิ่นเหยียนกับป้าจางกำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร
เสี่ยวซานเห็นจิ่นเหยียนกำลังเคาะนิ้วไปบนถาดที่วางอยู่บนเตา พร้อมกับซักถามป้าจางด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่โกรธอย่างมาก “ส่วนแบ่งอาหารของคุณหนูและคุณชายในจวนเราเป็นเช่นนี้หรือไร ผักใบเขียวชามหนึ่ง? เต้าหู้ขาวชามหนึ่ง? นี่ใช่อาหารเย็นของคุณชายอย่างนั้นหรือ ป้าจาง ส่วนแบ่งอาหารของคุณชาย ป้าลอบเก็บเอาไว้เองใช่หรือไม่ เอาไปให้หลานชายของป้ากินหมดแล้วหรือ!”
ป้าจางอายุสี่สิบกว่าปี รูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาเหมือนหมั่นโถวสีขาวที่เพิ่งออกจากหม้อนึ่งซึ่งทั้งกลมทั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น พอฟังจิ่นเหยียนแล้วนางก็โยนตะหลิวในมือไปบนเตา สองมือเท้าสะเอว เลิกคิ้วที่ทั้งหนาทั้งเข้มขึ้นพลางสบถด่า “เจ้าบ่าวรับใช้สุนัขชั้นต่ำ! คำพูดชั่วๆ ที่เจ้าพูดออกจากปากหมายความว่าอะไรกัน เต้าหู้กับผักใบเขียวดีๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ดีไปได้เล่า คุณชายท่านนั้นของเจ้าคู่ควรกับเต้าหู้และผักใบเขียวที่ดีขนาดนี้แล้วหรือ ยังมาพูดว่าข้าลอบเก็บอาหารส่วนของคุณชายเจ้าอีก เจ้านี่ช่างไม่รู้จักส่องกระจกดูเงาตนเองเลย แล้วก็ดูเงาคุณชายของเจ้าด้วย คู่ควรให้ข้าลอบเก็บอาหารส่วนของเขาหรือไร!”
จิ่นเหยียนได้ยินแล้วก็เกิดโทสะ เขากระทืบเท้าพลางชี้นิ้วไปยังป้าจาง เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากปูดออกมาให้เห็น “ป้าจาง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ คนบ้านเจ้าคนนั้นที่ดูแลจับจ่ายสิ่งของให้จวนเราแอบลิดรอนถ่านที่คุณชายของข้าควรได้ในฤดูหนาวนี้ไปไม่น้อย ถ่านที่เขาเอามาให้พวกเรามีปริมาณแค่หนึ่งส่วนจากสิบส่วนของคุณหนูคุณชายท่านอื่น จะไปพอใช้ทำอะไรกัน วันที่อากาศหนาวเช่นนี้พวกเจ้าตั้งใจจะแช่แข็งให้คุณชายข้าต้องหนาวตายหรือไร แม้คุณชายข้าจะยอมรับง่ายๆ แต่ข้าไม่ได้ยอมง่ายดายเช่นนั้น ถ้าทำให้ข้าโมโห พวกเราก็ไปถกเรื่องพวกนี้ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าให้รู้เรื่องกันไปเถิด”
“เช่นนั้นหรือ” ป้าจางเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วเอ่ยอย่างเหี้ยมโหด “ก็แค่มีสกุลหลี่นำหน้าชื่อเท่านั้น คุณชายเจ้ายังหลงคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายในจวนสกุลหลี่นี้จริงๆ หรือ เพ้ย! ทั้งจวนใหญ่โตนี้มีผู้ใดสนเขากัน มีผู้ใดเห็นเขาเป็นนายอยู่อีกหรือ เขามีสิทธิ์ใดมาเทียบกับเหล่าคุณหนูคุณชายคนอื่นของจวน อย่าได้ลืมไปเล่า ท่านเจ้าอาวาสเคยบอกว่าเขามีชะตาพิฆาตครอบครัว พิฆาตแผ่นดินมานานแล้ว อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่ตอนที่เขาเกิดมาก็ทำให้นายท่านผู้เฒ่าต้องเสียชีวิตไป คำพูดนี้ยังไม่ตรงอีกหรือ ในใจฮูหยินผู้เฒ่านั้นยิ่งเกลียดชังเขานัก ไม่ได้ใช้ไม้กวาดเขี่ยเขาออกไปก็นับว่าเมตตาเท่าไรแล้ว นี่เขายังหน้าด้านมาเรียกตนเองเป็นเจ้านายของจวนเราอีกหรือ!”