ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 6-7
แม้แรกเริ่มเขาจะต่อต้านที่ตนเองคิดเช่นนี้ มิหนำซ้ำในใจยังคงครุ่นคิดว่าที่นางทำเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่ ทว่าในท้ายที่สุดเขาก็คิดว่านางเป็นแค่เด็กหญิงอายุแปดขวบคนหนึ่งเท่านั้น นางจะไปมีความคิดสลับซับซ้อนได้อย่างไรกัน บางทีนางอาจรู้สึกจริงๆ ก็ได้ว่าเมื่อก่อนได้กระทำเรื่องผิดมากมายกับเขา ดังนั้นนางจึงคิดอยากชดเชยให้ หรือเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาผลักนางที่สวนดอกเหมย ทำให้นางตกใจกลัว นางเลยไม่กล้าหาเรื่องเขาอีก และพยายามมาประจบเขาแทน
เทียบกันแล้วหลี่เหวยหยวนค่อนข้างเห็นด้วยกับความคิดหลังมากกว่า เพราะบางครั้งเขาสัมผัสได้ว่าหลี่หลิงหว่านยังรู้สึกหวาดกลัวเขาอยู่ ทว่าเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร ขอเพียงหลี่หลิงหว่านไม่มาหาเรื่องเขาอีกก็พอแล้ว
หลี่เหวยหยวนพลิกตำราไปอีกหนึ่งหน้า ก่อนจะเห็นจิ่นเหยียนถือกล่องอาหารเดินเข้ามา
ในใจจิ่นเหยียนยังมีโทสะ แก้มพองลมด้วยความโมโห
หลี่เหวยหยวนมองไปที่เขาคราหนึ่ง จากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ใครรังแกเจ้ากัน”
ดั่งคำกล่าวที่ว่าตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ จิ่นเหยียนเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเขา ในจวนสกุลหลี่แห่งนี้อีกฝ่ายก็ถูกผู้อื่นรังแกไม่ต่างจากเขา จิ่นเหยียนถือเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง ต่อให้ลำบากเพียงใดก็ยังปรนนิบัติเขาอย่างภักดี ไม่เคยคิดจะไปจากเขามาก่อน เพราะเหตุนี้หลี่เหวยหยวนจึงปฏิบัติต่อจิ่นเหยียนไม่เลวนัก
ได้ยินหลี่เหวยหยวนถามขึ้นมา จิ่นเหยียนจึงเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดที่ห้องครัวทั้งหมดให้ฟัง “…สายตาสุนัขต่ำๆ ของป้าจางผู้นั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก กล้าดูถูกท่านถึงเพียงนี้ ลับหลังยังลิดรอนอาหารและข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่ท่านควรได้รับอีกด้วย บ่าวกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลงจริงๆ อยากจะไปโต้เถียงกับนางให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลยขอรับ”
“ในเมื่อเจ้ารู้ทั้งรู้ว่านางเกิดมามีสายตาสุนัขเช่นนั้น ยังจะไปมีโทสะกับนางอีกทำไมเล่า มิใช่เป็นการดึงฐานะของตนเองให้ต่ำลงหรอกหรือ” หลี่เหวยหยวนวางตำราในมือบนโต๊ะหนังสือ แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะอาหาร หยิบกับข้าวออกจากกล่องอาหารด้วยตนเอง ก่อนจะยกตะเกียบขึ้นมาเริ่มลงมือกินอาหาร
ทั้งผักใบเขียวและเต้าหู้ ปริมาณน้ำมันที่ใส่ลงไปนั้นช่างน้อยนิดนัก ทว่าหลี่เหวยหยวนยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเติมกระเพาะให้เต็ม ในยามนี้คนเช่นเขายังจะเรียกร้องสิ่งใดได้อีก มีเพียงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป รอจนภายภาคหน้าตนเองมีอำนาจขึ้นมาแล้ว เขาจะต้องนำโทษทัณฑ์ต่างๆ ที่ได้รับในวันนี้คืนสนองกลับไปเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่นอน
จิ่นเหยียนเห็นหลี่เหวยหยวนไม่เอ่ยคำพูดตัดพ้อเลยสักคำเดียว เพียงแค่ก้มหน้ากินอาหาร ในใจเขาก็อดรู้สึกแย่ขึ้นมาไม่ได้ จะว่าไปแล้วคุณชายของเขาก็นับว่าเป็นหลานชายคนโต ไม่ว่าจะรังแกกันอย่างไร อย่างน้อยอาหารของคุณชายก็ไม่ควรแย่ไปกว่าบ่าวรับใช้เช่นนี้ พวกป้าจางและคนครัวเหล่านั้น ทุกคนต่างกินดีอยู่ดี อ้วนท้วนสมบูรณ์กันทั้งหมดมิใช่หรือ
เมื่อคิดถึงป้าจาง เขาก็คิดถึงเสี่ยวซานขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย เมื่อครู่ตอนที่บ่าวอยู่ที่ห้องครัวได้เจอเสี่ยวซานสาวใช้ข้างกายคุณหนูสามด้วยขอรับ เสี่ยวซานบอกว่าคุณหนูสามของนางกำลังเป็นไข้ ต้องการให้ป้าจางต้มน้ำขิงร้อนๆ ให้ นางจะได้นำกลับไปให้คุณหนูของนางดื่ม”
จิ่นเหยียนเป็นคนที่จิตใจใสซื่อคนหนึ่ง เมื่อเช้าเขาเห็นหลี่หลิงหว่านนำชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อมามอบให้หลี่เหวยหยวน ในใจยังคงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เขาอยู่รับใช้ข้างกายหลี่เหวยหยวนมาหลายปีขนาดนี้ นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เห็นคนมอบสิ่งของให้กับหลี่เหวยหยวน มิหนำซ้ำยังให้ชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อที่ดีขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงใส่ใจเรื่องของหลี่หลิงหว่านมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พอได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับนางแล้วก็จะพยายามฟังให้มากขึ้น
ทันทีที่หลี่เหวยหยวนได้ยินประโยคนี้ มือที่กำลังคีบผักใบเขียวก็ชะงักไป ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ทำเหมือนไม่ได้ยินประโยคนี้อย่างไรอย่างนั้น ยังคงกินอาหารของเขาต่อไปอย่างช้าๆ
จิ่นเหยียนยืนสีหน้าเป็นกังวลอยู่ด้านข้างพลางเอ่ย “บ่าวคิดว่าจะต้องเป็นเพราะเมื่อเช้าคุณหนูสามฝ่าหิมะมาส่งชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อให้คุณชายแน่ กลับไปถึงได้มีไข้เช่นนี้ วันที่อากาศหนาวแบบนี้ แม้แต่คนผิวหนาอย่างบ่าวออกไปยืนที่ด้านนอกนานหน่อยยังอดตัวสั่นไม่ได้เลยขอรับ กับคุณหนูสามที่บอบบางเพียงนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อเช้านางยืนอยู่ที่ด้านนอกเรือนของเราเป็นเวลานานนัก จากนั้นยังหมดสติไป…”
คำพูดกล่าวไม่ทันจบ เขาก็ได้ยินเสียงปึงดังอย่างชัดเจนคราหนึ่ง เป็นหลี่เหวยหยวนที่ตบตะเกียบในมือลงกับโต๊ะ
จิ่นเหยียนสะดุ้ง รีบร้อนคุกเข่าลงเอ่ย “บ่าวไม่ได้ตั้งใจตำหนิเรื่องที่เมื่อเช้าคุณชายให้คุณหนูสามยืนอยู่นอกเรือน บ่าวเพียงแค่…เพียงแค่เป็นห่วงที่คุณหนูสามป่วยเท่านั้นขอรับ”
“เจ้าเป็นห่วงนางไปทำไม” น้ำเสียงของหลี่เหวยหยวนฟังแล้วมีความเย็นชาอยู่หลายส่วน “นางเป็นหลานสาวคนโตที่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่า ข้างกายมีพวกสาวใช้คอยดูแลอยู่ นางป่วยก็ย่อมมีคนไปเชิญท่านหมอที่ดีที่สุดมารักษานาง เจ้ายังจะเป็นห่วงอะไรอีก”
จิ่นเหยียนนิ่งอึ้งไปไม่พูดอะไร เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดนี้ของคุณชายฟังไปแล้วราวกับแฝงความนัยบางอย่างอยู่เล่า
หลี่เหวยหยวนลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือแล้วอ่านตำราต่อไป
จิ่นเหยียนมองไปยังอาหารที่ยังกินไม่เสร็จเรียบร้อยบนโต๊ะอย่างทำอะไรไม่ถูก
ในชามยังมีข้าวเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งมิใช่หรือ เดิมทีระยะนี้ก็เป็นช่วงเจริญเติบโตของหลี่เหวยหยวน ยามปกติข้าวเพียงชามเดียวเขายังกินไม่อิ่มเสียด้วยซ้ำ เหตุใดวันนี้จึงเหลือเอาไว้ครึ่งชามเช่นนี้เสียได้
จิ่นเหยียนจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ท่าน…ท่านไม่กินแล้วหรือขอรับ”
สายตาของหลี่เหวยหยวนจับจ้องไปที่ตำรา ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมาแฝงไปด้วยความเย็นชาอยู่หลายส่วน “ไม่กินแล้ว”
เห็นอีกฝ่ายเกิดโทสะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเช่นนี้ จิ่นเหยียนจึงได้แต่หดคอไม่กล้าถามอะไรอีก
หลังจากนั้นเขาก็เก็บอาหารที่เหลือไปอย่างระมัดระวัง ในใจคิดว่า รอให้ดึกกว่านี้ พอคุณชายอ่านตำราจนหิวแล้วก็ค่อยใช้น้ำร้อนอุ่นอาหารเหล่านี้ให้คุณชายกินก็ได้ จะได้ไม่เป็นการสิ้นเปลือง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 มิ.ย. 62