หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงสบถด่าชุดใหญ่ในใจอย่างเจ็บปวด
พอเห็นนางหมดสติไปแล้ว ชั่วขณะต่อมาหลี่เหวยหยวนก็ควรจะรีบอุ้มนางเข้าไปในห้องของเขา จากนั้นก่อไฟให้นางผิง แล้วรินน้ำอุ่นมาให้นางดื่มสิ ขณะเดียวกันเขาก็ต้องรู้สึกผิดอยู่ในใจว่าที่นางหมดสติไปล้วนเป็นเพราะนางมาส่งอาภรณ์กับรองเท้าให้เขาในวันที่หิมะตกหนัก หลี่หลิงหว่านคิดแทนไปล่วงหน้า
ทว่าพอหลี่เหวยหยวนเข้ามาใกล้แล้วก็ใช้เล็บจิกไปที่จุดเหรินจง ของนางทันที ซ้ำยังออกแรงมากด้วย!
หลี่หลิงหว่านพยายามอดทนให้ถึงที่สุด นางยังอยากแกล้งหมดสติต่อไป ไม่เชื่อหรอกว่าหลี่เหวยหยวนจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดหลี่หลิงหว่านก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของหลี่เหวยหยวนดังมาจากเหนือศีรษะนางอย่างชัดเจน “ในเมื่อฟื้นแล้วเจ้าก็ลุกขึ้นเองเถอะ”
ได้ยินเช่นนี้ความคิดแรกในหัวของหลี่หลิงหว่านก็คือ หา? หมายความว่าอะไรกัน หลี่เหวยหยวนมองเรื่องที่ข้าแกล้งหมดสติออกแล้วหรือ
ไม่ใช่เพราะหลี่เหวยหยวนมองออกว่านางแกล้งทำ แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เขายื่นมือออกไปจิกที่จุดเหรินจงของหลี่หลิงหว่าน เห็นนางฝืนทนความเจ็บไม่ไหวจนคิ้วข้างขวาขยับเล็กน้อย เขาเห็นแล้วจึงเข้าใจว่าหลี่หลิงหว่านได้สติกลับมาแล้ว
หลี่หลิงหว่านคิดไปว่า ช่างน่าอับอายยิ่งนัก ข้าถูกคนมองออกง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทว่าใบหน้านางยังคงแกล้งทำเหมือนเมื่อครู่หมดสติไปจริงๆ แต่เป็นเพราะถูกหลี่เหวยหยวนจิกจุดเหรินจงอย่างโหดเหี้ยมไปทีหนึ่ง นางถึงได้สติกลับมาเช่นนี้
หลี่หลิงหว่านค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความสับสน นางเอ่ยถามเสี่ยวซานที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ด้านข้าง “เสี่ยวซาน เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”
เสี่ยวซานเห็นคุณหนูของตนเองฟื้นแล้วก็ดีใจจนหลั่งน้ำตาอีกหน “คุณหนู เมื่อครู่ท่านหมดสติไป เป็นคุณชายใหญ่ที่ช่วยท่านไว้เจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านรู้สึกโมโห ช่วยอะไรกันเล่า! มีใครเป็นเหมือนเขาบ้างหรือ มาถึงก็ใช้วิธีโหดร้ายเช่นนี้เลย จุดเหรินจงของข้าแทบจะถูกเขาจิกจนหลุดติดมือเขาไปด้วยอยู่แล้ว
ทว่าเบื้องหน้านางยังคงแสร้งแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจออกมา แล้วหันหน้าไปทางหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย เป็นพี่ที่ช่วยข้าหรือ ขอบคุณนะเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนลุกขึ้นยืน เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าหลี่หลิงหว่านเพียงแค่แกล้งหมดสติ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าในท้องเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้านี้จะเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมาย เดิมทีร่างกายของนางก็บอบบางอยู่แล้ว วันที่อากาศหนาวเช่นนี้นางกลับมาโดนลมเย็นนานขนาดนั้น นางหมดสติไปเช่นนี้ก็นับเป็นเรื่องปกติยิ่ง
หลี่เหวยหยวนไม่ได้เอ่ยอะไรอื่นอีก เพียงพูดว่า “ร่างกายไม่สบายก็รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
หลี่หลิงหว่านตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าจะเล่นลูกไม้ ดังนั้นนางจึงนั่งอยู่บนพื้นหิมะต่อไป เงยใบหน้าเล็กขึ้นมองหลี่เหวยหยวนพลางใช้น้ำเสียงออดอ้อนเอ่ย “พี่ชาย ขาข้าชาจนลุกไม่ขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าก็รีบยื่นมือออกมาดึงข้าลุกขึ้นเร็วๆ เข้าสิ
หลี่เหวยหยวนไม่แม้แต่จะยื่นมือออกมา สายตาเย็นชาของเขามองตรงมาที่นางโดยไม่เคลื่อนไหว
เพียงพริบตาหลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่าหิมะที่ตกลงบนใบหน้าตนเองไม่เย็นเยือกอีกต่อไป ลมที่พัดมาโดนใบหน้าก็ไม่หนาวอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะสายตาของเขาเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าหิมะและลมหนาวนี้เสียอีก
ชั่วขณะนั้นหลี่หลิงหว่านพลันนึกเสียใจภายหลังยิ่ง รู้สึกว่าตนเองใจเร็วเกินไปจริงๆ หลี่เหวยหยวนเพิ่งแสดงท่าทีไม่รังเกียจนางออกมาเล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดนางถึงต้องรีบหาเรื่องตายเช่นนี้ด้วย
หลี่หลิงหว่านไม่กล้าทำตัวเช่นนั้นอีกแล้ว นางหันกลับไปมองเสี่ยวซานแล้วเอ่ยเรียกอีกฝ่ายแทน “เสี่ยวซาน รีบพยุงข้าลุกขึ้นเร็วเข้า”
เสี่ยวซานรับคำพลางรีบร้อนเข้ามาประคองนางลุกขึ้นยืน ทั้งช่วยปัดเกล็ดหิมะบนร่างนางออก
หลี่หลิงหว่านปล่อยให้เสี่ยวซานปัดหิมะบนเนื้อตัวไป ใบหน้านางแสดงรอยยิ้มใสซื่อไร้เดียงสาซึ่งพยายามทำให้หลี่เหวยหยวนเห็น น้ำเสียงก็เอ่ยอย่างแผ่วเบา “พี่ชาย ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
แม้หลี่เหวยหยวนจะไม่พูดอะไร แต่ในใจเขากลับคิดว่า เมื่อครู่นางเพิ่งจะหมดสติ เหตุใดตอนนี้นางกลับดูไม่เป็นอะไรเลยสักนิด หรือเมื่อครู่นี้นางเพียงแค่แกล้งหมดสติ เหตุใดถึงต้องแกล้งหมดสติด้วยเล่า จริงๆ แล้วในใจนางคิดอะไรอยู่ นางอยากจะทำอะไรกันแน่
หลี่เหวยหยวนเพียงมองส่งหลี่หลิงหว่านที่ค่อยๆ เดินหายไปจากสายตาของเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลนมีเพียงสีแดงประดุจเปลวเพลิงอยู่ตรงจุดนั้นเท่านั้น ไม่ว่าใครก็เห็นได้อย่างชัดเจน
รอจนหลี่หลิงหว่านกับเสี่ยวซานเดินจากไปไกลแล้ว หลี่เหวยหยวนจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนโดยไม่พูดอะไรสักคำ จิ่นเหยียนที่อยู่ด้านหลังเขาเองก็รีบติดตามไป