กว่ามู่หรงชงจะฟื้นขึ้นมาก็เป็นเวลาฟ้าสางของวันถัดมาแล้ว
พอลืมตาก็ได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของมู่หรงหย่งดังอยู่ริมโสต “นายท่านฟื้นได้เสียที พวกข้าเป็นห่วงแทบตายแล้ว! เมื่อคืนหลังท่านหมดสติไปในวังก็เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่…”
“พี่หญิง…” มู่หรงชงไอ “พี่หญิงของข้าเล่า นางเป็นอย่างไรแล้ว”
มู่หรงหย่งสีหน้าหนักอึ้งก่อนจะส่ายศีรษะ
มู่หรงชงเอ่ยเร่ง “บอกมา!”
มู่หรงหย่งตอบเสียงค่อย “องค์หญิงชิงเหอนาง…เสวยยาพิษปลิดชีพตนเองแล้ว เมื่อคืนระหว่างทางไปตำหนักชีอู๋จู่ๆ ก็พบว่าตำหนักข้างๆ เกิดเพลิงไหม้…เพลิงนั้นใหญ่เกินไป ฟ้าใกล้สางแล้วถึงดับลงได้ ต่อมาแม่นางมู่มาหา ข้าถึงได้ทราบว่าท่านถูกนางส่งกลับมาแล้ว ทว่าน้องสาวนางดูเหมือนว่า…จะตายอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง”
ในห้วงความคิดของมู่หรงชงเอาแต่คิดถึงคำว่า ‘เสวยยาพิษปลิดชีพตนเอง’ ซ้ำไปซ้ำมา แทบจะฟังคำบอกเล่าหลังจากนั้นของมู่หรงหย่งไม่เข้าหัว
พี่หญิงตายแล้ว พี่หญิงที่รักใคร่เอ็นดูข้าที่สุดตั้งแต่เล็กจนโตถึงกับปลิดชีพตนเองเยี่ยงนี้
เขาคล้ายว่าเปลี่ยนกลับไปเป็นเด็กที่ขี้ขลาดและดูถูกตนเองเฉกเช่นเมื่อไม่กี่ปีก่อนอีกครั้งในเวลาชั่วข้ามคืน เพียงขดตัวอยู่มุมผนัง รอพี่หญิงมาหาตนเอง แต่ครั้งนี้พี่หญิงไม่มีวันมาหาแล้ว
ไม่นานนักมู่หรงชงที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็มองเห็นมู่เฉินที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดุจเดียวกัน ข่าวจากในวังบอกว่าเมื่อคืนองค์หญิงฝูเป่าจุดไฟวางเพลิง นอกจากตัวนางเองแล้วยังได้เผาสตรีอีกคนที่พรวดพราดเข้าไปกะทันหันจนตาย น่าจะเป็นคนของจวนฉงเหอโหว
ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ต้องการปลอบโยนกันและกันสักเล็กน้อย แต่ล้วนคิดถ้อยคำใดๆ ที่ปลอบโยนได้ไม่ออก
“ได้ยินว่าเมื่อคืนโต้วชงออกเดินทางตั้งแต่ก่อนได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทแล้ว ดังนั้นจึงได้รุดไปช่วยสกุลมู่หรงของพวกข้าไว้ได้ทันกาล”
“ใช่”
“เจ้าเดาถูกว่าหวังเหมิ่งจะลงมือในเวลานี้ จึงให้โต้วหวั่นเอ๋อร์ไปบอกให้โต้วชงรู้ล่วงหน้า?”
“ใช่”
“เจ้านับว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคนสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยเราไว้”
“ใช่”
“พูดอย่างอื่นบ้างได้หรือไม่ ความคิดข้าสับสนยิ่ง…”
“ข้า…ก็เช่นกัน”
“พี่หญิงข้า…เป็นคนที่ดีต่อข้าที่สุดบนโลกนี้ หากมิใช่เพราะนาง ห้าปีก่อนข้าคงตายไปแล้ว”
“ข้ากับน้องสาวไม่ได้พบกันเจ็ดปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอได้พบก็จะกลายเป็นจากกันตลอดกาล”
“เดิมทีข้าคิดจะพาพี่หญิงไปชมทุ่งหญ้า”
“ข้าเองก็คิดจะพาอวิ่นจือไปหนานเหยา…”
“ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้”
ท้ายที่สุดเป็นมู่เฉินพูดขึ้นเบาๆ “ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ มิสู้…เอาสุรามาแล้วกัน!”
ด้วยเหตุนี้คืนนี้พวกเขาจึงเมามายอยู่ในที่เก็บสุราใต้ดินของเมืองฉางอันด้วยกัน
ยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วนก็เป็นเช่นนี้ คาดเดาอะไรไม่ได้ ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ ลุ่มๆ ดอนๆ พวกเขาเคยโดดเดี่ยวเดียวดาย เดินตามลำพัง มิกล้าเมามายแม้ชั่วขณะ มีเพียงคืนนี้ เมามายหมดสภาพไปกับบุปผาและสายลม ดังอีกาหวนคืนรังบนต้นไม้ในยามเย็น ราวกับว่าคลายทุกข์ได้นับพัน
คล้ายว่าคืนนี้ยังคงไม่มีอะไรต่างไปจากทุกคืนที่ผ่านมา ทว่าบรรดาชนชั้นสูงตระกูลขุนนางในแถบเจียงหนานและเหล่าผู้มีอำนาจชั้นนำในแถบเจียงเป่ยในเวลานี้ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าความเป็นความตายของสกุลมู่หรงในวันนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบเช่นไรในอีกหลายปีให้หลัง