ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 12-14
บทที่ 14 สัญญาสิบปี
หลังหวังเหมิ่งตายฝูเจียนก็แต่งตั้งเขาเป็นอู่โหว พร้อมทั้งจัดงานศพให้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด กล่าวขานกันว่าเสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วทั้งแคว้นฉินเป็นเวลาถึงสามวัน
ในขณะที่จวนของมู่หรงชงนั้นเงียบประดุจป่าช้า
เขาไม่ก้าวออกจากห้องเลยตลอดสามวัน และไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เช่นเดียวกัน
มู่หรงหย่งร้อนใจอยู่ด้านนอกมาสามวันแล้ว สุดท้ายจึงมาขอร้องมู่เฉินถึงหน้าประตู
สองสามวันมานี้มู่เฉินเองก็มิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ใบหน้านางซีดเซียวจนชวนให้ตกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำขอร้องจากมู่หรงหย่งนางก็ยังคงเดินไปที่ห้องของมู่หรงชง
นางใช้เท้าถีบเปิดประตูอย่างไม่ไว้ไมตรี
แม้แต่มู่หรงหย่งยังตกใจ ทว่านอกจากนางแล้วไหนเลยจะยังมีใครกล้าเปิดประตูห้องมู่หรงชงเช่นนี้อีก ก็ใครใช้ให้นางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคนทั้งสกุลมู่หรงเอาไว้เล่า
มู่หรงชงหาได้มีท่าทางซึมเศร้าเท่าที่คนทั้งหลายคิดไว้ไม่ เขาเพียงแต่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆ ตั้งแต่เส้นผมจรดรองเท้าของเขาล้วนสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย
มู่เฉินกล่าวขึ้นว่า “มู่หรงชง ท่านลุกขึ้นมา นอนอยู่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านอยากนอนให้ตายไปเลยหรือไร”
มู่หรงชงคล้ายว่าไม่ได้ยิน ไม่มีการตอบสนองใดๆ
มู่เฉินเดินไปฉุดเขาให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านนึกว่าข้าอยากสนใจท่านหรือ ใครใช้ให้ข้ารับปากคนตายว่าจะช่วยดูแลท่านเล่า!”
มู่หรงชงฟังออกถึงความไม่เคารพในวาจาของนางจึงมองมาด้วยสายตาเยียบเย็น
“มีการตอบสนองแล้วใช่หรือไม่ รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าคนได้ตายจากไปแล้ว” มู่เฉินเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ถึงกับลากมู่หรงชงลงจากเตียงได้จริงๆ “ท่านทำสายตาพรรค์นี้เพราะรู้สึกว่าข้าไม่เคารพนาง? ข้ากับท่านใครไม่เคารพนางมากกว่ากันแน่ อย่างน้อยข้าก็ทำตามความปรารถนาก่อนตายของนาง ทำให้ท่านลุกขึ้นมากินข้าว แล้วท่านเล่า ปล่อยให้ตนเองหิวตายก็จะได้พบนางหรือ ไม่หัดคิดเสียบ้างว่าท่านมีสภาพหมดอาลัยตายอยากเยี่ยงนี้นางจะอับอายเพราะท่านหรือไม่!”
“พอแล้ว!” มู่หรงชงคำรามใส่นาง
มู่เฉินกล่าว “ไม่อย่างนั้นท่านก็ร้องไห้ให้หนำใจไปเลย สภาพหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้คิดจะทำให้ใครดู”
มู่หรงชงยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนาน มู่เฉินก็ยืนประจันหน้ากับเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน
คนทั้งสองยืนจนถึงเวลาเที่ยงวัน
ภายใต้สายตาที่ดุดันร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของมู่เฉิน ในที่สุดมู่หรงชงก็พ่ายแพ้ เขาอ้าปากเปล่งถ้อยคำที่ฟังไม่ชัดเจนออกมา “ข้าหิวแล้ว”
มู่เฉินลูบต้นคอที่แข็งทื่อ ก่อนกล่าวกับมู่หรงหย่งที่ชะโงกศีรษะเข้ามา “ได้ยินหรือไม่ เขาบอกว่าหิวแล้ว”
มู่หรงหย่งพูดด้วยความดีใจ “ของกินเตรียมพร้อมไว้ตลอด ข้าจะให้คนไปยกมาเดี๋ยวนี้!”
มู่หรงชงมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง
เมื่อครู่นี้นางบอกว่าจะดูแลเขา
เขาอยากถามเสียจริงๆ ว่าเจ้าจะดูแลข้าได้นานสักเท่าใด หนึ่งวัน? หนึ่งเดือน? หรือหนึ่งปี
เขาเพียงคิดในใจมิได้ถามออกไป แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ มีคำด่ารอบนี้ในวันนี้แล้ว มู่เฉินก็ยังคล้ายว่าจะมีความหมายบางอย่างที่ต่างออกไปสำหรับเขา
วันสุดท้ายในฉางอันเต็มไปด้วยความตายและการพรากจาก
เพียงไม่นานมู่หรงชงกับมู่เฉินก็ออกเดินทางไปผิงหยางด้วยกัน
มู่หรงหงก็จากไปในวันเดียวกับพวกเขาเช่นกัน นอกเมืองฉางอันสองพี่น้องกุมมือบอกลา ต่างไม่กล่าวสิ่งใด แต่เข้าใจกันดี
ล้วนเป็นผู้ที่มีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม มู่หรงหงสวมชุดสีนิล มู่หรงชงสวมชุดสีเขียวคราม ยืนปะทะลมชุดส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
สกุลมู่หรงหารือกันได้แผนการที่ดีที่สุดออกมานานแล้ว อีกทั้งมู่หรงจิ่นก็ได้ทำการเลือกวิธีการที่เด็ดขาดที่สุดออกมา มู่หรงเหว่ยเป็นตัวประกันอยู่ที่ฉางอันต่อไป ส่วนมู่หรงฉุยเป็นตาเฒ่าเหลี่ยมจัดไปเช่นเดิม…ทางเส้นนี้ในวันข้างหน้ามีเพียงพวกเขาต้องอดทนอดกลั้น แบกรับภาระ และร่วมกันก้าวเดินต่อไป
ย่อมไม่มีใครคิดว่าโต้วหวั่นเอ๋อร์จะมาส่ง ผู้ที่มากับนางยังมีชุนหยาอีกคน
มู่เฉินรู้ว่าโต้วหวั่นเอ๋อร์ชอบมู่หรงหงจึงดึงแขนเสื้อมู่หรงชงเบาๆ “พวกเราไปกันก่อนเถิด”
มู่หรงหย่งเห็นการกระทำของมู่เฉินก็ให้ตกใจเล็กๆ แต่มู่หรงชงกลับไม่มีท่าทางไม่พอใจใดๆ คล้ายว่าเคยชินแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ชุนหยารีบเดินมาที่ข้างรถม้า ก่อนคุกเข่าต่อมู่หรงชง “ขอท่านอ๋องโปรดรับตัวบ่าวไว้ด้วย องค์หญิงไม่อยู่แล้ว ชุนหยาไม่อยากอยู่ที่วังหลวงแคว้นฉินอีกต่อไป!”
มู่หรงชงมองเห็นนางก็นึกถึงมู่หรงจิ่นขึ้นมาอีก เป็นนานกว่าเขาจะมีอาการตอบสนอง สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุดัน ก่อนเอ่ยถามว่า “คืนนั้นใครไปหาพี่หญิง”
ชุนหยาตอบ “มีคนมาหาจริงๆ แต่ตอนที่บ่าวไปคนได้จากไปแล้ว บ่าวมองเห็นเพียงเป็นบุรุษสวมชุดสีเข้ม”
“มีลักษณะพิเศษหรือไม่”
“มือขวาเขาคล้ายจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก…อย่างอื่นไม่มีสิ่งใดที่จำได้แล้วเพคะ”
“มือขวาเคลื่อนไหวไม่สะดวก…” มู่หรงชงพลันนึกถึงอะไรได้ “อาหย่ง อัครเสนาบดีหวังมีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง มือขวาคล้ายว่าจะพิการโดยกำเนิด”
มู่หรงหย่งตบศีรษะ “อา! ใช่แล้วขอรับ! กล่าวกันว่าเป็นลูกศิษย์ที่อัครเสนาบดีหวังให้ความสำคัญที่สุด ชื่อว่าอะไรนะ…จิ่งสิง!”
มู่เฉินฟังบทสนทนาของพวกเขา สายตากลับทอดมองไปยังมู่หรงหงและโต้วหวั่นเอ๋อร์
โต้วหวั่นเอ๋อร์มีท่าทางเอียงอาย คล้ายว่ายื่นของบางอย่างจำพวกถุงหอมให้มู่หรงหง มู่หรงหงยื่นมือซ้ายไปรับ…ส่วนมือขวา…
ครั้นมู่เฉินสังเกตดูอย่างละเอียดก็พบว่ามือขวาของมู่หรงหงคล้ายจะได้รับบาดเจ็บ เขาซุกมือขวาอยู่ในแขนเสื้อไม่ขยับเขยื้อน และก็หลบเลี่ยงโต้วหวั่นเอ๋อร์ตามจิตใต้สำนึก
ในชั่วขณะนั้นนางรู้เพียงว่าความหนาวเหน็บเริ่มผุดขึ้นในใจ…ได้แต่หวังว่าตนเองจะคิดมากไป