หลังงานเลี้ยงยุติลงชิงหลวนเห็นคณะของฝูหมัวออกมาจากประตูใหญ่ของตำหนัก ฝูหมัวออกจากวังเป็นเพื่อนฝูเจียน มุ่งหน้าไปยังจวนของอัครเสนาบดีหวังเหมิ่ง มีบ่าวรับใช้และองครักษ์นับร้อยติดตาม
ชิงหลวนรู้สึกว่าตัวรถโยกเยก ตรงหน้าปรากฏรองเท้าหุ้มแข้งเดินเส้นทองคู่หนึ่ง ตามติดมาด้วยรองเท้าผ้าไหมลายเมฆอีกหนึ่งคู่
ฝูหมัวกับอนุของเขาไม่รู้ว่าในรถลากมีคน จึงเริ่มหยอกเย้ากันตามอำเภอใจ
สตรีถูกเขาหยอกเอินจนหัวเราะคิกคักไม่หยุด พูดด้วยเสียงยั่วยวนว่า “ท่านโหว ท่านรีบร้อนปานนี้ไปไย กลับไปก่อน…ก็ยังไม่สายนะเจ้าคะ”
“ข้าก็เห็นเจ้าดูร้อนใจเป็นหนักหนา มิเช่นนั้นไยกระโปรงตัวนี้ถึงได้ชื้นเป็นวง”
“…น่าเกลียดจริง นี่เป็นสุราหกใส่ต่างหาก!”
“อย่างนั้นหรือ ข้าขอดมที…”
“ตายจริง อย่าเจ้าค่ะ…ท่านโหว…”
ทั้งสองคนยิ่งคุยกันหยาบโลนกว่าเดิม
ชิงหลวนขมวดคิ้ว แทบอยากจะอุดหู
ไม่คาดว่าขณะใกล้จะถึงประตูวังบ่าวรับใช้ผู้ลากรถเกิดเผลอข้อเท้าพลิก รถลากทั้งคันเกิดเอียง โต๊ะล้มลงไป
ระหว่างที่ชิงหลวนตกใจกลัวอยู่นี้เองก็พลันเห็นฉากเหตุการณ์อันชวนกระสันที่เบื้องหน้า ทั้งตัวคนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
“กรี๊ด!” อนุนางนั้นมองเห็นชิงหลวนก่อนจึงตกใจอุทานออกมา
ในใจชิงหลวนมีเสียงหนึ่งฟาดลงมา แย่แล้ว!
โต้วหวั่นเอ๋อร์กับฝูเป่าไม่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครช่วยนางได้ นางเองก็ไม่ใช่คนในวังโดยสิ้นเชิง พูดไม่กี่คำย่อมถูกพบพิรุธได้แน่…
นางไม่มีเวลาให้สนใจอะไรมากมาย หมุนตัวกระโดดลงจากรถลาก
เหล่าองครักษ์ได้ยินเสียงก็พากันรุมล้อมเข้ามาแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดได้ใช้ดาบจ่อมาที่คอของชิงหลวนพร้อมตวาดว่า “เจ้าเป็นใคร!”
ชิงหลวนที่มิอาจหนีรอดได้แต่ตอบไปว่า “ผู้น้อยขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าหากสุดวิสัยจะใช้ข้ออ้างว่าเป็น ‘เทวทูตจากเขาปี้ลั่ว’ มาเอาตัวรอด…
“ผู้ที่มีฐานะไม่ชัดแจ้งเยี่ยงนี้ยังคิดจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท?! ยังไม่รีบบอกความจริงมาอีก!”
เสียงของฝูเจียนพลันดังมาจากทางด้านหน้า “โต้วชง ข้างหลังเกิดอะไรขึ้น”
ผู้ที่ถือดาบอยู่นี้ก็คือพี่ชายของโต้วหวั่นเอ๋อร์ เขาตอบไปว่า “กราบทูลฝ่าบาท จับนักลอบสังหารหญิงที่มีที่มาไม่ชัดแจ้งได้นางหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”
“อ้อ? นักลอบสังหาร?” ฝูเจียนกล่าว “คุมตัวมา!”
ฝูหมัวกับอนุของเขามิได้เดินลงมา คงเพราะว่าสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
โต้วชงจับสองมือชิงหลวนไพล่ไว้ข้างหลัง แล้วคุมตัวไปถึงเบื้องหน้าฝูเจียน
แม้เมื่อครู่นางจะปรากฏตัวในตำหนักใหญ่ แต่ฝูเจียนจำนางไม่ได้ เพียงแต่มองนางพลางถามว่า “ใครส่งเจ้ามา”
ชิงหลวนมองดูสีหน้าฝูเจียน เห็นว่าไม่มีเจตนาจะเข่นฆ่าจึงตอบว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันหาใช่นักลอบสังหารไม่ ที่เข้าวังมาก็เพื่อตามหาคนเพคะ”
“หาคน? หาผู้ใด”
ชิงหลวนกำลังคิดจะบอกว่าหาฝูเจียน กลับมีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง “ฝ่าบาททรงยั้งพระหัตถ์ด้วย!”
ผู้มาถึงกับเป็นมู่หรงชง เขารีบเดินมาโขกศีรษะใต้ร่มของฝูเจียน “นางเป็นคนของกระหม่อมเอง เมื่อครู่พลัดหลงไป ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินฝ่าบาทแต่อย่างใด ขอฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเจียนข้องใจเล็กน้อย
ชิงหลวนยิ่งประหลาดใจเหลือประมาณ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมาช่วยตนเอง
ฝูเจียนหรี่ตาลงพลางถามว่า “นางเป็นอนุของเจ้า?”
มู่หรงชงตอบ “เป็นเพียงสาวใช้พ่ะย่ะค่ะ”
ฝูเจียนซักไซ้ต่อ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเป็นกังวลปานนี้”
เขาถามเสียงเข้มงวด
ชิงหลวนก้มหน้า เหงื่อออกเต็มฝ่ามือ
มู่หรงชงมิได้ตอบอะไร เพียงก้มตัวโขกศีรษะติดพื้น
ความมืดยามราตรีไร้ที่สิ้นสุด เสียงบอกโมงยามของหน่วยลาดตระเวนราตรีดังมาจากที่ไกลๆ หางตาชิงหลวนเหลือบเห็นเงาร่างที่หมอบอยู่กับพื้นข้างกาย ในท่าทีพินอบพิเทาของเขากลับคล้ายว่ามีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอันยากจะบรรยายแฝงอยู่
เนิ่นนานฝูเจียนถึงได้ถอนหายใจก่อนว่า “ช่างเถอะ ปล่อยคนไป”
ครั้นเห็นว่าขบวนของฝูเจียนเคลื่อนขึ้นหน้าไปไกลแล้ว ชิงหลวนจึงหันไปมองมู่หรงชง “ขอบคุณเจ้าเมืองมู่หรงมาก”
มู่หรงชงปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าออกจนสะอาด สองตาจ้องมองชิงหลวนพลางกล่าวแช่มช้า “ราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่ว บุตรสาวคนโตของสกุลมู่…มู่เฉิน”