หลังจากจิ้นเสวียนจับเหยาเหนียงกลับมาก็มอบหมายให้จิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยไปเฝ้าจับตาดู พร้อมทั้งย้ำเตือนพวกเขาอย่างเข้มงวดว่าห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ เรื่องที่นางปีศาจสามารถทำลายค่ายกลนอกหอผนึกมารได้ห้ามมิให้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด
“สตรีผู้นี้ดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่จริงๆ แล้วร้ายกาจยิ่งนัก จะปล่อยให้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกลวงจนชะล่าใจมิได้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
จิ้งเหลยพยักหน้าอย่างขึงขังจริงจัง แต่จิ้งเฟิงกลับมีจุดหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจสักเท่าไร
“อาจารย์ ในเมื่อนางปีศาจร้ายกาจถึงเพียงนั้น หอผนึกมารก็ยังขังนางไม่อยู่ ลำพังแค่เรือนเล็กหลังเดียวจะขังนางเอาไว้ได้อย่างไรกันขอรับ”
“เรื่องนี้พวกเจ้ามิต้องเป็นห่วง แม้นอาวุธเวทและคาถาอาคมจะใช้ไม่ได้ผลกับนาง แต่นางกลับอ่อนแอปวกเปียกเหมือนกับสตรีธรรมดาทั่วไป”
จิ้งเฟิงยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่ “เช่นนั้นก็แปลกพิลึก ในเมื่อนางอ่อนแอปวกเปียก แล้วเหตุใดถึงสามารถตบอาจารย์ฉาดหนึ่งได้เล่าขอรับ”
บรรยากาศตกสู่ความเงียบสงัดอันน่าประหลาดอย่างฉับพลัน จิ้งเหลยซึ่งอยู่อีกด้านจ้องมองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสายตาราวกับมองดูคนตาย จริงๆ แล้วเขาก็สงสัยมากเช่นกันว่าเหตุใดจนถึงบัดนี้แล้วอาจารย์ยังไม่เดือดดาลจนขับไล่ศิษย์พี่ใหญ่ออกจากสำนักไปอีก
จิ้นเสวียนจดจ้องดูศิษย์คนโตอย่างนิ่งเงียบ มิได้กริ้วโกรธแต่กลับแย้มยิ้มแทน
“จิ้งเฟิง ต่อไปเจ้าเป็นคนจัดการดูแลเรื่องในเรือนของสตรีผู้นั้นก็แล้วกัน กิจวัตรประจำวันของนางก็ให้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบเฝ้าจับตาดูทั้งหมด รวมถึงการทำความสะอาดกระโถนปัสสาวะและถังอาจมของนาง เจ้าก็ต้องเป็นคนจัดการ เข้าใจหรือไม่”
จิ้งเฟิงอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันใด
“อาจารย์ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ศิษย์จะไปช่วยนางจัดการเรื่องส่วนตัวขนาดนั้นได้อย่างไรเล่าขอรับ”
รอยยิ้มของจิ้นเสวียนยิ่งลึกกว่าเดิม “เจ้าเป็นคนสุขุมหนักแน่น ทั้งยังมีความคิดละเอียดอ่อน เรื่องที่ผู้อื่นคิดไม่ถึง เจ้ากลับคิดขึ้นมาได้ ถ้าหากมอบหมายให้ลูกศิษย์คนอื่นมาทำ เกรงว่าคงจะหลงกลนางปีศาจจิ้งจอกเข้าจนปล่อยให้นางปีศาจหนีรอดออกไปได้ จะกระทำการใหญ่ต้องไม่จู้จี้กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์คาดหวังในตัวเจ้านะ” พูดจบก็ตบบ่าเขาเบาๆ
จิ้งเฟิงนิ่งเงียบเป็นเบื้อใบ้ จิ้นเสวียนรีบเอ่ยสรุปรวบรัดในทันที ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสปฏิเสธ
“เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน จำเอาไว้ หากเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้นกับนางปีศาจ ข้าจะเอาเรื่องเจ้าแน่” จิ้นเสวียนหมุนกายเดินจากไป ไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้กอบกู้สถานการณ์เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
กระทั่งผู้เป็นอาจารย์เดินหายไปแล้ว จิ้งเหลยก็ตบบ่าศิษย์พี่ใหญ่เบาๆ เช่นเดียวกัน เอ่ยปลอบใจเขาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่อาจารย์ให้ความสำคัญกับท่านนะ ถึงได้มอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้แก่ท่าน”
ทว่าจิ้งเฟิงกลับมองดูศิษย์น้องรองด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ “ศิษย์น้องรอง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าอาจารย์จงใจกลั่นแกล้งข้าเล่า”
จิ้งเหลยพยักหน้าอย่างปลาบปลื้มใจ “ที่แท้ท่านก็ยังไม่ถึงขนาดไร้หนทางเยียวยานี่นา! เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องปลอบใจท่านแล้ว”
จิ้งเฟิงเองก็มีสีหน้าเบาใจเช่นเดียวกัน “ศิษย์น้องรอง หากเจ้าจะปลอบข้า มิสู้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้าดีกว่า”
จิ้งเหลยยิ้มยิงฟันด้วยสีหน้าสดใสเจิดจ้า “ศิษย์พี่ใหญ่วางใจเถิด นี่ข้ากำลังจะไปหาอาจารย์เพื่อร้องขอความเมตตาแทนท่านอยู่พอดี” สิ้นคำเขาก็หายวับไปราวกับควัน วิ่งเร็วกว่ากลิ้งไปเสียอีก
จิ้งเฟิงรีบไล่ตามไปทันที ตะโกนเสียงดังสนั่นว่า “ศิษย์น้องรอง! เจ้าวิ่งผิดทางแล้ว อาจารย์อยู่อีกทางหนึ่งต่างหาก…”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.