ซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นต่างหารู้ไม่ว่าการบุ่มบ่ามทำความดีโดยบังเอิญในครั้งนี้จะมอบผลตอบแทนที่คาดไม่ถึงให้แก่พวกตนในวันข้างหน้า
“ไปกันเถอะ” ซูเพียนจื่อพูดพลางลูบคอฝูอวิ๋น
ฝูอวิ๋นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง สยายสองปีกทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ลาจากอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ไปในพริบตา
จวบจนผู้คนในตัวอำเภอมองไม่เห็นเงาร่างของทั้งสองอีก ซูเพียนจื่อจึงได้ตัวอ่อนปวกเปียกฟุบกับร่างของฝูอวิ๋นแล้วถอนหายใจยาว “ข้าตกใจแทบตายเลยเชียว”
ฝูอวิ๋นเอ่ยกลั้วหัวเราะร่วน “เจ้านาย ท่านเก่งกาจมากเลย สมแล้วที่เป็นคนสกุลซูแห่งถ้ำพันจิ้งจอกของพวกเรา สัตว์อสูรเหล่านั้นถูกท่านหลอกจนหัวหมุนทีเดียว หึๆ ตอนแรกข้ายังกลัวอยู่ว่าท่านจะเผยพิรุธ นึกไม่ถึงว่าท่านจะหลอกคนเก่งกว่าข้าเสียอีก โอ๊ะ! ไม่ถูกสิ หลอกสัตว์ต่างหาก”
“เป็นเพราะพวกเราดวงดีกระมัง หรือว่าเป็นเพราะสัตว์อสูรที่นี่สมองทึบเช่นนี้กันหมด” ตอนนี้ซูเพียนจื่อมานึกย้อนดูแล้วก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
เหตุที่นางจากมาทันทีโดยไม่ยอมรั้งอยู่ค้างแรมในตัวอำเภอ ความจริงแล้วเป็นเพราะหวั่นใจว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นจะคิดได้แล้วบุกกลับมา
ฝูอวิ๋นย่อมเข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย มันโคลงศีรษะเอ่ยว่า “พวกที่เจอวันนี้ซื่อบื้อมากจริงๆ ซ้ำใจเสาะอีกด้วย! คาดว่าเมื่อก่อนน่าจะเคยถูกผู้ฝึกวิชาที่ร้ายกาจสั่งสอนเข้าให้ อีกอย่างผมยาวของท่านก็ชวนให้คนตกใจจริงๆ…ไม่สิ! ต้องพูดว่าชวนให้สัตว์ตกใจ ฮ่าๆๆ”
“เจ้าบอกว่าที่จริงแล้วข้าเพียงแต่ถูกปิดผนึกพรสวรรค์ หากคลายผนึกแล้วก็จะสามารถฝึกวิชาได้ ผมข้ายาวเช่นนี้ หมายความว่าพรสวรรค์ของข้าสูงส่งมากๆ เลยใช่หรือไม่” ซูเพียนจื่อถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
ฝูอวิ๋นผงกศีรษะรับ “ใช่แล้ว แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า…ท่านต้องเสาะหาของวิเศษที่คุณชายทิ้งไว้ให้พบเสียก่อน”
ประโยคนี้ฝูอวิ๋นพูดมาสองครั้งแล้ว หัวใจของซูเพียนจื่อพลันกระตุกวูบ มือขยุ้มขนแผงคอของมันไว้แน่น “ทิ้งไว้? ท่านพ่อข้าไม่ได้อยู่ที่ถ้ำพันจิ้งจอกของสกุลซูหรอกหรือ เจ้าบอกข้าว่าไปถึงถ้ำพันจิ้งจอกก็จะได้พบท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่หรือไร”
ฝูอวิ๋นเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งค่อยปริปากในที่สุด “คุณชายกับฮูหยินน้อยหายสาบสูญไปหลายปีแล้ว หากท่านหาของวิเศษที่คุณชายทิ้งไว้จนพบ บางทีอาจมีเบาะแสที่จะตามหาพวกเขาได้”
“เจ้าหลอกข้า” ซูเพียนจื่อพูดด้วยเสียงอันฝืดเฝื่อน นางสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่รางๆ ตั้งแต่แรกแล้ว
ความเงียบปกคลุมระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งม้า ความสุขจากชัยชนะด้วยกลโกงก่อนหน้านี้พลันสลายวับจนไร้ร่องรอย
อาจเพราะแต่เล็กจนโตประสบกับเรื่องที่วาดหวังแล้วผิดหวังมามากมายเหลือเกิน ซูเพียนจื่อจึงฮึกเหิมขึ้นมาได้ในไม่ช้า “ต้องทำอย่างไรจึงจะหาของวิเศษที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้พบเล่า เจ้าคงจะไม่หลอกข้าอีกนะ”
ฝูอวิ๋นพ่นลมขึ้นจมูกก่อนตอบ “เทพเจ้าแห่งกลลวงโปรดเป็นพยาน อาชาเทพจะไม่ประสงค์ร้ายหลอกลวงนายของมัน”
จะไม่ประสงค์ร้ายหลอกลวง เช่นนั้นถ้าหลอกลวงด้วยความหวังดีเล่า
ซูเพียนจื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อนึกได้ว่าชะตากรรมของอาชาเทพตัวนี้น่าจะผูกติดอยู่กับตน สาวน้อยก็ไม่ไปตั้งข้อสงสัยอะไรอีก เพราะลึกๆ แล้วในใจนางก็หวังเช่นกันว่าสิ่งที่ฝูอวิ๋นพูดมาล้วนเป็นความจริง
“คืนนี้จะทำอย่างไร เที่ยวหลอกชาวบ้านไม่มีผลลงเอยที่ดีจริงเสียด้วย หนำซ้ำยังถูกเขย่าขวัญไปยกหนึ่งโดยใช่เหตุอีก” ซูเพียนจื่อนึกถึงปัญหาเรื่องที่พักก็ปวดหัวขึ้นมา
ฝูอวิ๋นหัวเราะหึๆ อย่างคนโฉดก่อนตอบ “เดิมทีพวกเราไม่มีเงิน แต่ว่าตอนนี้มีแล้ว ย่อมสามารถไปค้างแรมที่อำเภอใกล้เคียงได้”
“เอ๋? เจ้ามีเงินด้วยหรือ นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน” ก่อนหน้านี้พวกตนไปหลอกคนที่อำเภอเล็กๆ แห่งนั้น ฝูอวิ๋นบอกว่าไม่มีเงินไม่ใช่หรือ
“เจ้าคนอ้วนพีนั่นติดสินบนข้าน่ะสิ!” ฝูอวิ๋นกระหยิ่มยิ้มย่อง